[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 8
Ch.8 – -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 3 Everyone lies. And it’s the truth.
Provider : SanGala
มีคนเคยกล่าวไว้ว่าสิ่งมีชีวิตมากมายถูกจำกัดขอบเขตด้วยอายุขัยของพวกมัน โดยเฉพาะแมลงที่มีพื้นที่สำรวจที่แสนคับแคบ
ไม่ใช่แค่เพราะแมลงมีอายุขัยที่สั้น แต่พวกมันเกือบทั้งหมดเอาแต่ใช้ชีวิตมุดอยู่ในดินไม่ยอมไปไหน
แต่พวกมันเคยไม่พอใจกับพื้นที่ที่แสนคับแคบของมันบ้างหรือเปล่า? พวกมันไม่อยากเห็นโลกกว้างบ้างเหรอ?
คำตอบก็คงเป็นไม่
พระอาทิตย์สาดแสงอยู่เหนือหัว
ตอนนี้ก็เดือนสิงหาแล้ว
พวกเราอยู่ที่ชายหาดสวนอิจิโนะมิยะเมืองโทยาฮามะในคันนอนจิ
ที่สวนมีพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์และทำกิจกรรมอะไรหลายอย่าง ทำให้มีคนแวะเวียนมาที่นี่ตลอดปี แต่ในเวลานี้ของปีเป็นช่วงนี้ทะเลจะมีคนพลุกพล่านมากที่สุด มีทั้งคู่รักที่ช่วยกันกางร่มชายหาดและครอบครัวที่เล่นเรือยางอยู่ในทะเล
“ไม่เอาแล้ว! ล่มเลิกเรื่องเดินทางต่อเถอะ ขืนไปมากกว่านี้มีแต่จมกับจม! ร่างกายมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อลอยน้ำสักหน่อย!”
ลิลลี่ในชุดว่ายน้ำเดินโวยวายขึ้นมาจากทะเล
“ใช่ที่ไหนล่ะ… นี่หล่อนผ่านวิชาว่ายน้ำมาได้ยังไงเนี่ย”
“ถ้ามีโฟมลอยน้ำก็จะว่ายได้ไกลถึงสิบเมตรเลยนะ ส่วนท่าฟรีสไตล์ฉันว่ายได้ไกลตั้งสามเมตรด้วย!”
“แค่สามเมตรเขาไม่นับว่าว่ายน้ำหรอกนะ”
แค่ยื่นแขนกวัดน้ำจากหน้าไปหลังทีเดียวก็ไปได้สามเมตรแล้ว…
ลิลลี่ไม่ไหวเรื่องกีฬาจริงๆ
“ก็ได้ งั้นฉันจะสอนว่ายน้ำให้แล้วกัน อย่างแรก เรียนรู้วิธีวางหัวลงน้ำแล้วลอยตัวขนานกับผิวน้ำ ที่หล่อนจมเพราะทำเรื่องพื้นฐานแบบนี้ไม่ได้นี่แหละ”
“งื่อ… ทั้งที่คิดว่าทำได้ดีแล้วเชียว…”
ฉันเดินลงน้ำทะเลแล้วเริ่มจัดท่าของลิลลี่ให้อยู่ในท่าว่ายน้ำ แค่นี้ก็ทำให้ลิลลี่สามารถว่ายน้ำได้ไกลถึงสิบเมตรโดยไม่ใช้โฟมแล้ว
“การฝึกฝนทำให้เก่งขึ้น! ยูซุกิคุง ถ้าเราทำแบบนี้ต่อไปล่ะก็จะต้องถึงเป้าหมายได้แน่!”
“ฉันว่าเธอต้องฝึกว่ายน้ำสิบเมตรอีกเป็นพันครั้งเลยล่ะถึงจะทำได้”
“…ฉะ-ฉันจะ จะ จะต้องทำได้แน่!”
ลิลลี่มองไปที่เส้นสุดขอบฟ้าเพื่อปลุกใจตัวเอง
ทั้งหมดเริ่มขึ้นตอนสิ้นเดือนกรกฎาคม…
ลิลลี่กับฉันอยู่ที่ร้านเบอร์เกอร์แห่งหนึ่งในคันนอนจิ ตั้งแต่เข้าปิดเทอมฤดูร้อน ฉันก็ช่วยงานชมรมผู้กล้าของลิลลี่ทุกวัน ทั้งสำรวจและค้นหาเส้นทางที่จะใช้ข้ามกำแพงพร้อมกับศึกษาประวัติศาสตร์ยุคคริสตศักราช ตามปกติเราจะนัดเจอกันที่ร้านอูด้ง แต่วันนี้ต่างไปจากปกติ
“บางครั้งก็รู้สึกอยากทานเบอร์เกอร์บ้าง เลือดของคุณแม่ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของฉันมันเรียกร้องหาอาหารแห่งจิตวิญญาณอเมริกันน่ะ”
ลิลลี่ว่าอย่างงั้น
ฉันไม่รู้ว่าเบอร์เกอร์เป็น [จิตวิญญาณอเมริกัน] จริงหรือเปล่า แต่ต่อให้ไม่มีสายเลือดชาวอเมริกาก็ไม่ได้แปลกอะไรที่จะเรียกร้องหาอาหารฟาสต์ฟู้ด
แต่วันนี้เรามีแผนที่จะทำการบ้านปิดเทอมฤดูร้อนกัน แน่นอนว่าร้านเบอร์เกอร์ย่อมเหมาะกว่าร้านอูด้ง เพราะลักษณะของร้านที่เหมือนกับร้านอาหารครอบครัว
หลังจากซัดเบอร์เกอร์จนหายอยาก พวกเราก็หยิบการบ้านกับหนังสือเรียนขึ้นมาบนโต๊ะแล้วเหลือบมองหน้ากัน
ลิลลี่แก้โจทย์ไปทีละข้อๆ ได้อย่างไม่ลังเล แถมยังให้คำแนะนำดีๆ ในการแก้โจทย์ที่แสนยากจนได้คำตอบที่ดีที่สุด
“ลิลลี่… นี่หล่อนเรียนเก่งขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย?”
“อ้า แน่นอนอยู่แล้ว ฉันติดอันดับสองการสอบระดับจังหวัดนี่นะ”
ลิลลี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเหมือนตอนคุยกับบริกร ไม่ใช่น้ำเสียงจอมโอ้อวดเหมือนครั้งก่อนๆ
“…ล้อเล่นใช่ไหมน่ะ”
“พูดจริง”
ลิลลี่ยังคงเรียบเฉย หมายความว่ายัยนี่คือหนึ่งในคนที่มีความสามารถที่สุดในจังหวัดงั้นเหรอ
“ขอโทษที่มองว่าหล่อนโง่นะลิลลี่”
“มองว่าใครโง่กันหา!? ดูถูกกันแบบนี้สะเทือนใจนะเนี่ย…”
จะให้ฉันมองคนที่หมกมุ่นอยู่กับทฤษฎีสมคบคิดแปลกๆ กับโปรยใบปลิวแปลกๆ จนโดนครูที่โรงเรียนจับเป็นคนยังไงกันล่ะ?
“ฉันไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ยังไงซะคะแนนก็ไม่ได้ทำให้ฉันข้ามกำแพงได้”
ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
เราสองต่างกันคนละขั้ว
ที่ชัดเจนที่สุดคือสรีระร่างกาย แต่นอกจากนั้นก็มี ฉันที่เก่งเรื่องกีฬาแต่อ่อนเรื่องเรียน ตรงกันข้าม ลิลลี่อ่อนด้านกีฬาแต่เรียนเก่ง
“เอาล่ะ รีบๆ จบเรื่องเรียนกันดีกว่า! ถึงเวลาชมรมผู้กล้าแล้ว”
ลิลลี่เก็บการบ้านกับหนังสือเรียน
“โอเค เพราะได้หล่อนช่วยเลยทำไปได้หลายข้อ… แล้ววันจะทำอะไรกันล่ะ?”
“หึ หึ ยูซุกิคุงนี่ขยันจริงๆ! ในที่สุดก็พร้อมที่จะเป็นสมาชิกชมรมผู้กล้าแล้วสิน-”
“ไม่อะ”
“ตอบไวเชียว… ไม่ไหวๆ เธอเนี่ยดื้อจริงๆ เลยนะ เอาแต่เก็บซ่อนความรู้สึกจริงไว้ สักวันจะทำให้สิ่งสำคัญหลุดมือไปนะ”
“ฉันไม่ได้ดื้อ และเลิกใช้วิธีพูดแบบนั้นได้แล้ว มันไม่เท่เลยสักนิด”
ฉันยื่นมือข้ามโต๊ะไปผลักหัวของลิลลี่
ลิลลี่พยายามตีกลับแต่เอื้อมไม่ถึงหัวฉัน ความสูงของที่นั่งของเราต่างกันและบางที่อาจเป็นเพราะ เธอตัวเตี้ยด้วย ลิลลี่เขม่นใส่ฉันด้วยความโมโห
“งึย… ช่างเหอะ มีเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า วันนี้ฉันมาพร้อมกับเส้นทางใหม่ในการข้ามกำแพงด้วยนะ!”
“ยังไงซิ?”
“ลอดผ่านมันยังไงล่ะ!”
“…ยังสติดีอยู่หรือเปล่า?”
“ขอบอกไว้เลยว่าสติดีร้อยเปอร์เซ็น! ดูทฤษฎีที่เขียนไว้ในหนังสือนี่สิ…”
ลิลลี่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากเป้และเริ่มไล่เปิดหน้าหนังสือ หนังสือเล่มนั้นมีชื่อว่า [บันทึกความคิดผิดๆ ในยุคเทวศักราช] ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน
ระหว่างที่ลิลลี่กำลังเปิดหาหน้าที่ต้องการอยู่นั้น ฉันก็ค้นหาชื่อของสำนักพิมพ์ในอินเตอร์เน็ต อย่างที่คิดไว้ มีแต่หนังสือเกี่ยวกับไสยเวทแปลกๆ และทฤษฎีสมคบคิดที่ไม่น่าเชื่อถือ
พอเจอหน้าที่อยากให้ฉันดูแล้วลิลลี่ก็หยุดมือ
“เจอแล้ว หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องลึกลับมากมายก่อนยุคเทวศักราช มีหลายทฤษฎีพูดถึงสาเหตุที่น้ำทะเลไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีกำแพงล้อมรอบชิโกกุ หนึ่งในนั้นคือ… หากมันถูกสร้างขึ้นจากการเอาไม้มาอัดเข้าด้วยกัน หมายความว่าความหนาแน่นของมันบนผิวน้ำและใต้น้ำจะต่ำอย่างมาก มากพอที่น้ำและปลาสามารถผ่านเข้าออกได้! ดังนั้นแม้จะมีกำแพงก็ไม่ส่งผลอะไรกับกระแสน้ำและระบบนิเวศในทะเล ซึ่งถ้าทฤษฎีนี้ถูกต้องเราก็สามารถว่ายน้ำลอดผ่านไปได้!”
ได้ยินมาว่าที่สภาพแวดล้อมของชิโกกุยังคงสภาพเดิมเป็นเพราะ พรคุ้มครองของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ [ชินจู] ส่วนที่น้ำทะเลยังคงสภาพเดิมก็มาจากเหตุผลเดียวกัน คือได้รับพรคุ้มครองจากชินจู นั่นคือสิ่งที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟัง และฉันก็ไม่เคยตั้งคำถามกับมันเช่นกัน
ดังนั้นถ้าไม่มีพรคุ้มครองของชินจู ก็จะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างมารองรับสาเหตุที่สภาพแวดล้อมยังคงเหมือนเดิม
……แล้วไหงเหมือนฉันกำลังถูกล่อลวงให้จมลงสู่ทฤษฎีสมคบคิดของลิลลี่ไปอย่างช้าๆ ล่ะเนี่ย
“เรื่องลอดผ่านกำแพงจะทำได้ไม่ได้เอาไว้ทีหลังก่อน แต่เรื่องว่ายน้ำข้ามทะเลน่ะคิดว่าทำได้จริงเหรอ?”
“เคยอ่านมาว่า ในยุคคริสตศักราช ประเทศที่ชื่อว่า [อังกฤษ] มีการแข่งว่ายน้ำข้ามทะเลที่ชื่อว่าช่องแคบโดเวอร์อยู่ ระยะทางในการแข่งคือหกสิบแปดกิโลเมตร และมีหลายคนที่สามารถว่ายจนถึงเส้นชัยได้”
“…ลิลลี่ บอกทีซิว่าหล่อนว่ายน้ำได้ไกลแค่ไหน?”
“…เดี๋ยวจะเริ่มฝึกเดี๋ยวนี้แหละ!”
เป็นอีกครั้งที่ฉันไม่คาดหวังว่ามันจะสำเร็จ
….และนั่นคือสาเหตุที่ลิลลี่กับฉันมาฝึกว่ายน้ำที่ทะเล
ไม่กี่ชั่งโมงหลังจากเริ่มฝึก ลิลลี่ก็เริ่มแสดงพัฒนาการ
“แฮ่ก… แฮ่ก… ฉันว่าการฝึกในวันนี้ทำให้ฉันว่ายน้ำได้ดีขึ้นแล้วนะ…”
“ถ้าเทียบกับตอนแรกที่ว่ายน้ำไม่เป็นก็คงงั้นแหละ”
“ใช่ไหมล่ะ!? ใช่ไหมล่า!?”
ลิลลี่ยืดอกภูมิใจ
“เอาล่ะ นี่ก็จะเย็นแล้ว มาทดสอบกันดีกว่าว่าฉันจะว่ายน้ำไปได้ไกลแค่ไหน บางอีกอาจไปถึงกำแพงเลยก็ได้นะ!”
“ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน… เอาเป็นว่าอย่าฝืนก็แล้วกัน อย่าให้ตะคริวกินขาล่ะ”
“อย่าตีตนไปก่อนไข้เลยน่า งั้นไปล่ะนะ!”
ลิลลี่กระโดดลงทะเล พอว่ายน้ำไปได้สักพักก็เริ่มตีน้ำรอบข้างอย่างแรง
“ตะคริว… กิน…!”
“ยังไม่ถึงสิบวิฯ เล้ย!”
ฉันกระโดดลงน้ำอย่างตื่นตระหนก
ฉันดึงลิลลี่ที่กำลังจมน้ำขึ้นมาบนชายหาด และจับตัวลงนอนใต้ร่มชายหาด
“เจ็บขาอะ… วันนี้ไม่ว่ายน้ำต่อแล้ว…”
“ของมันแน่อยู่แล้ว ฝึกแค่วันเดียวจะไปว่ายถึงร้อยเมตรได้ยังไงกันล่ะ ปกติเขาฝึกกันเป็นปีนู้น”
“งั้นเหรอ… ก็คงงั้นแหละนะ…”
ลิลลี่ที่นอนหงายอยู่ถอนหายใจออกมา
อีกฟากฝั่งของเส้นสุดขอบฟ้าห่างไกลที่แบ่งแยกระหว่างทะเลกับท้องฟ้าคือกำแพง ท้องฟ้าที่อยู่ใกล้กำแพงเริ่มถูกย้อมด้วยสีแสด คนอื่นๆ ที่มาเที่ยวทะเลก็เริ่มเก็บของกันแล้ว
“เฮ้อ… บางทีวันนี้กลับกันดีกว่า”
ลิลลี่ยืนขึ้น ขาของเธอยังคงเจ็บอยู่ แต่อาการน่าจะดีขึ้นแล้ว
พวกเราเปลี่ยนชุดในห้องเปลี่ยนเสื้อแล้วเดินทางกลับบ้านกัน
ระหว่างทางกลับ พวกเราก็ผ่านอนุสรณ์ที่มีชื่อว่า [ดรีมทาวเวอร์]
ที่อนุสรณ์มีระฆังที่เหมือนกับระฆังแต่งงานในโบสถ์ ว่ากันว่าคู่รักที่เข้าไปสั่นระฆังด้วยกันจะได้พบกับความสุข เลยมักจะเห็นคู่รักแวะมาที่นี่เป็นประจำ ตอนนี้เองก็เช่นกัน
ข้างอนุสรณ์เป็นที่ที่ให้คู่รักแขวนแม่กุญแจที่เขียนชื่อของทั้งสองเอาไว้ ลักษณะเหมือนการแขวนกุญแจอธิษฐานในศาลเจ้า พอเข้าไปดูใกล้ๆ จะมีบางแม่กุญแจที่ไม่ได้เขียนเพียงแค่ชื่อของคู่รักเท่านั้น บางอันเขียนความปรารถนาเอาไว้ด้วย
ความปรารถนา
ถ้าเป็นลิลลี่ ความปรารถนาของเธอคงเป็นข้ามกำแพงเพื่อออกไปเห็นโลกกว้างข้างนอก
ส่วนฉันคง…
“ยูซุกิคุง สนใจทำพิธีล็อคกุญแจหรือเปล่า? ไปซื้อแม่กุญแจ แล้วเขียนชื่อของเราลงไป…”
“ไม่เอาด้วยหรอก อีกอย่างชื่อของฉันมันจะดูเด่นเกินไป เพราะงั้นขอบาย”
“อา… งั้นเหรอ”
ลิลลี่ดูเศร้าลงหน่อยๆ
ฉันหันกลับแล้วรีบเดินออกไป
ลิลลี่วิ่งตามฉันมา
“ทำไมยูซุกิคุงถึงเกลียดชื่อตัวเองขนาดนั้นล่ะ?”
“แล้วหล่อนไม่รู้สึกอะไรกับชื่อนี้บางเลยหรือไง?”
“ฉันชอบนามสกุลลิเลียธาลของคุณแม่ แต่ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับชื่อยูนะเลย ก็แค่มีชื่อเหมือนกับคนดังแค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ?”
“…เมื่อก่อนฉันก็เคยคิดแบบนั้น”
พวกเราออกมาจากสวนสาธารณะอิจิโนมิยะและตรงไปที่สถานีโทโยฮามะ
“ตอนอยู่ประถม ฉันอยู่ชมรมบาสเด็กหญิงเล็กๆ ในตอนนั้นฉันเป็นตัวหลักของทีมเลยก็ว่าได้ คงด้วยความที่ตอนนั้นยังเด็ก เลยมีมุมมองที่คับแคบและลำพองใจ คิดว่าตัวเองมีพลังพิเศษแค่เพราะ เล่นได้ดีในทีมบาสเด็กเล็กๆ เท่านั้น”
ผู้คนรอบตัวฉันเองก็เช่นกัน เวลาที่เล่นกับทีมอื่น ฉันมักจะได้รับความสนใจจากผู้เล่นคนอื่นๆ และคนดูอยู่เสมอ
แม้แต่นักข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นก็มาสัมภาษณ์ฉันตอนที่ทีมฉันชนะ
“แต่อยู่มาวันหนึ่ง ทีมของฉันก็เข้ารวมแข่งขันใหญ่ของชิโกกุ แต่พวกเราทำได้แย่มาก จนตกรอบตั้งแต่รอบแรก และพวกเราแทบไม่ได้ทำอะไรเลย เรียกได้ว่าถูกนำอยู่ฝ่ายเดียว ฉันถูกย่ำยีโดยผู้เล่นที่เก่งกว่าจนเทียบไม่ติด แสดงให้เห็นว่าฉันมันก็แค่คางคกขึ้นวอ ถูกสั่งสอนว่าฉันก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นๆ จากนั้นมีกองเชียร์ของฝั่งตรงข้ามคนหนึ่งมองมาที่ฉันแล้วพูดว่า ….ก็ไม่เห็นจะเก่งซักเท่าไหร่นิ เหมือนอย่างที่คิดไว้เลย”
“ใครเป็นคนพูดกัน!? ฉันจะชกหน้าคนคนนั้น!!”
“หมัดของหล่อนไม่แม้แต่จะระคายผิวใครด้วยซ้ำ อย่าไปคิดมากเลยน่า”
ฉันลูบหัวลิลลี่ที่อยู่ต่ำกว่า
“จากนั้นฉันก็เริ่มคิดกับตัวเอง สำหรับคนที่อาศัยอยู่ละแวกเดียวกัน ฉันคือผู้เล่นที่ดีมากคนหนึ่ง แต่สำหรับคนอื่นๆ ล่ะ? ฉันไม่ใช่ผู้เล่นตัวท็อปที่มีชื่อเสียงดังทั่วชิโกกุ ผลการแข่งขันในวันนั้นทำให้ทุกอย่างชัดเจน แต่ในมุมมองคนดูนั้นสามารถมองเห็นความสามารถจริงๆ ของฉันได้ชัดเจน พวกเขาน่าจะรู้ว่าฉันเป็นแค่ปลาใหญ่ในบ่อเล็ก แต่แล้วทำไมพวกเขาถึงประหลาดใจกันล่ะ? ทำไมพวกเขาถึงไม่ตัดสินความสามารถของฉันอย่างเป็นกลาง? ฉันเอาแต่คิดเรื่องนั้นด้วยหัวทึบๆ ของฉัน และก็เข้าใจในที่สุด ถึงเหตุผลที่ทุกคนชื่นชมสรรเสริญและตัดสินฉันอย่างผิดๆ… เพราะฉันมีชื่อว่า [ยูนะ] พวกเขาไม่ได้มองที่ความสามารถของฉัน แต่มองที่ความสามารถของเด็กผู้หญิงที่มีชื่อว่ายูนะ พวกเขาทำให้ฉันเป็นในสิ่งที่เกินกว่าที่ควรจะเป็นเพราะชื่อนี้ พอสำนึกได้ ฉันก็อับอายจนไม่กล้าออกไปข้างนอก ถึงขั้นไม่ไปโรงเรียนตั้งหลายวัน”
แค่นึกถึงตอนนั้นก็อยากมุดหน้าหนีแล้วกรีดร้องออกมา
“ฉันคิดผิดว่าพลังของยูนะเป็นพลังของฉัน และถูกล่อลวงด้วยคำสรรเสริญ… ทั้งน่าอายทั้งน่าหงุดหงิด ถ้าไม่มีชื่อยูนะ ฉันมันก็ไม่มีอะไรพิเศษ เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวใหญ่ไร้สมองคนหนึ่ง แม้แต่ตอนนี้ฉันก็ยังคิดอยู่ว่าตัวฉันมันทุเรศสิ้นดี”
ระหว่างที่พูดอยู่ พวกเราก็มาถึงอาคารเล็กๆ ของสถานีโทโยฮามะ
“ยูซุกิคุง ย่อตัวลงมาหน่อยสิ”
“เพื่อ?”
“เถอะน่า!”
ฉันย่อตัวลง แล้วลิลลี่ก็เข้ากอดหัวฉัน
ตรงนี้สามารถได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้น ตึก ตัก
“เท่านี้ก็เย็นลงแล้วนะ”
ฉันไม่พูดอะไร ปล่อยให้ลิลลี่กอดไว้อย่างนั้น
“ตอนที่คุณแม่ยังอยู่ ท่านมักจะทำอย่างนี้ทุกครั้งตอนที่ฉันโกรธหรือร้องไห้”
ไม่มีใครอยู่ที่สถานีโทโยฮามะที่มืดสลัวนี้นอกจากเราสองคน ไม่มีใครเห็นสภาพที่ฉันโดนกอดอยู่
“…ฉันนี่มันบ้าจริงๆ ที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้กับคนโง่อย่างหล่อน…”
ลิลลี่ยังคงกอดฉันโดยไม่ตอบอะไร
“…ชักเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเราถึงอยู่ด้วยกันได้ หล่อนเป็นคนโง่(アホ Aho)ส่วนฉันเป็นคนบ้า(バカ Baka) คนประเภทเดียวกันมักอยู่ด้วยกันสินะ?”
“นั่นสินะ เราสองคนทั้งโง่ทั้งบ้าเหมือนกัน”
ลิลลี่พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ฉัน… อยากมีพลังมาโดยตลอด เพราะงั้นฉันเลยไม่อับอายกับชื่อยูนะอีกแล้ว แม้ชื่อนี้จะทำให้ฉันต้องทำอะไรเกินตัว ฉันก็มั่นใจว่าฉันทำมันได้… แต่ต่อให้พยายามมากแค่ไหน ฉันก็ไม่มีอะไรพิเศษอยู่ดี”
พลังที่จะยืนหยัดด้วยตัวเองได้ พลังในการหาเงิน พลังที่ไม่มีใครเหมือน พลังที่เป็นของฉัน
รูปร่างของพลังจะเป็นยังไงก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่เป็นที่พึ่งพาให้หัวใจของฉัน เพื่อใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่ต้องละอายในตัวเอง โดยไม่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของใคร
“ฉันเชื่อนะ ว่ายูซุกิคุงมีพลังอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้น ไม่ว่าจะมีพลังหรือไม่ ไม่ว่าจะมีชื่ออะไร และไม่ว่าจะเป็นคนยังไง ฉันก็จะอยู่ข้างยูซุกิคุงเสมอนะ”
“…ขอบคุณ”
“อื้ม”
ลิลลี่ยิ้มแล้วปล่อยกอด
“รู้อะไรไหมยูซุกิคุง? เรื่องราวของยูซุกิคุงทำให้ฉันอยากจะข้ามกำแพงมากยิ่งขึ้นไปอีก”
“…ทำไมล่ะ?”
“คนแบบยูซุกิคุงคือคนที่จำเป็นต้องออกไปนอกกำแพงมากที่สุด”
“คนอย่างฉัน?”
“ตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ผู้คนได้รับการพัฒนาโดยการขยายขอบเขตของตัวเอง มนุษย์สมัยก่อนใช้ชีวิตทั้งชีวิตโดยไม่เห็นข้างนอกอาณาเขตที่ตัวเองอยู่ ด้วยการพัฒนายานพาหนะ ทำให้ผู้คนสามารถเดินทางออกจากอาณาเขตและไปในที่ที่ไกลแสนไกลได้ ในยุคคริสตศักราช ผู้คนสามารถเดินทางสุดขอบฝั่งหนึ่งของญี่ปุ่นไปยังอีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีระยะทางกว่าพันกิโลเมตรได้ภายในวันเดียว ด้วยรถไฟความเร็วสูงที่มีชื่อว่าชินคันเซ็นและเครื่องบินที่สามารถบินข้ามผ่านทองฟ้า อีกทั้งยังสามารถบินไปต่างประเทศได้ด้วย หรือแม้แต่นั่งจรวดออกไปนอกอวกาศก็ยังได้ และการขยายขอบเขตนำมาซึ่งความเป็นไปได้ของมนุษย์”
“ความเป็นไปได้…”
“ในยุคคริสตศักราช เมื่อผู้คนสามารถเดินทางไปทั่วโลกได้อย่างอิสระ จึงมีวิถีชีวิตอีกมากมายที่ไม่สามารถหาได้ในชิโกกุ ถ้าไปที่โตเกียวหรือนิวยอร์คที่ที่เป็นเมืองใหญ่ไม่เหมือนกับชิโกกุ ก็เป็นไปได้ที่จะหางานและใช้ชีวิตในแบบที่ไม่มีวันทำได้ในชิโกกุ หรือออกสำรวจพื้นที่ที่ยังไม่ถูกค้นพบในต่างประเทศและเป็นอีกครั้งที่ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ไม่มีวันทำได้ในชิโกกุ ฉันรักคากาว่า ฉันรักเมืองนี้ แต่เพราะกำแพงนี่ขว้างกั้นระหว่างเรากับโลก ผู้คนจึงเสียความเป็นไปได้ไป”
ลิลลี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามพลบค่ำ… ไม่ เธอมองไปไกลกว่านั้น มองไปยังโลกที่ไกลออกไปจากชิโกกุ
“ยูซุกิคุง ฉันมั่นใจว่าเธอมีพลังพิเศษ แต่ทั้งฉันและเธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผู้คนแบบยูซุกิคุงคือคนที่จำเป็นต้องได้รับประสบการณ์ของโลกกว้างแล้วเผชิญหน้ากับทางเลือกที่แตกต่างและความเป็นไปได้”
“…และจากนั้น ฉันก็จะได้พบกับพลังพิเศษของฉัน ความเป็นไปได้ของฉัน… หล่อนจะพูดอย่างนั้นใช่ไหม?”
“อื้ม ถ้าเราพิสูจน์ได้ว่าไม่มีเวอร์เท็กซ์ ผู้คนก็จะสามารถออกไปนอกกำแพงได้อีกครั้ง โลกจะถูกขยายขอบเขต ทางเลือกและโอกาสของเราจะมากยิ่งขึ้น พวกเราจะต้องได้พบกับพลังพิเศษของยูซุกิคุงแน่นอน และเธอก็จะได้ไม่ต้องทรมานอีกต่อไป”
“อา… คงงั้นแหละนะ”
พวกเราคงไม่สามารถออกไปนอกกำแพงได้
แต่มีความหวังสักนิดก็คงไม่แย่อะไร
“เดี๋ยวรถไฟจะมาแล้ว ไปกันเถอะ”
ลิลลี่เริ่มเดินไปที่สถานี และฉันก็เดินตามไป
“งั้นที่ลิลลี่อยากออกไปนอกกำแพงก็เพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตนอกชิโกกุได้อีกครั้งสินะ?”
“ไม่ใช่”
ลิลลี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ฉัน… แค่ไม่อาจทนเรื่องเวอร์เท็กซ์ที่อยู่นอกกำแพงได้ ฉันไม่ยอมรับตัวตนของพวกมัน”
ไม่เข้าใจเลยว่าเจตนารมณ์ของฟูโยว ลิเลียธาล ยูนะคืออะไร
เธอเป็นนักแสดงที่เก่งมาก ทำได้แม้แต่ใช้ใบหน้าที่เก็บซ่อนความรู้สึกในใจเอาไว้พูดในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่ออย่างไม่สบอารมณ์ออกมา ไม่มีใครสามารถคาดเดาเจตนาของเธอได้
[[ฉันอยากจะรู้ความจริงอีกฝั่งของกำแพง]]
[[ฉันไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์]]
[[ฉันไม่ยอมรับเรื่องกำแพงกับเวอร์เท็กซ์]]
ทุกอย่างที่ลิลลี่พูดออกมา ฉันไม่รู้เลยว่ามันจริงหรือเปล่า สิ่งที่รู้คือทั้งหมดนั่นอาจเป็นเรื่องโกหกก็ได้
วันหนึ่งกลางเดือนสิงหา ฉันได้รับข้อความจากลิลลี่ประมาณช่วงสาย
‘วันนี้พักกิจกรรมชมรมนะ”
พอมาคิดดูแล้ว พวกเราทำกิจกรรมชมรมเกือบทุกวันตั้งแต่เริ่มปิดเทอมฤดูร้อน ข้อความนั้นทำเอาฉันหมดไฟ
‘เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?’
ฉันตอบกลับ
ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้รอคอยกิจกรรมชมรมผู้กล้าสักหน่อย แต่ถ้าไม่มีกิจกรรมก็ไม่มีอะไรทำแค่นั้นเอง
‘เพิ่งจำได้ว่ามีธุระต้องทำน่ะ แค่เรื่องน่ารำคาญที่มาบ้างเป็นครั้งคราว’
ไม่รู้ว่าเป็นธุระอะไร แต่ฉันเลือกที่จะไม่สนใจ
‘อืม…’
ทีนี้ฉันก็ว่างไม่มีอะไรทำทั้งวัน
การบ้านปิดเทอมฤดูร้อนเสร็จเรียบร้อย เพราะได้ลิลลี่ช่วย เลยว่างแบบไม่มีอะไรทำจริงๆ
“…ไปห้องสมุดละกัน”
ฉันแต่งตัวแล้วออกจากบ้าน
ห้องสมุดเมืองคันนอนจิอยู่ไม่ไกลจากบ้านฉันมาก ปั่นจักรยานแปปเดียวก็ถึง เมื่อก่อนฉันไม่เคยเข้าห้องสมุดเลย แต่พอได้เจอกับลิลลี่ เธอก็พาฉันมาที่นี่เพื่อเรียนประวัติศาสตร์บ่อยครั้ง เพราะงั้นตอนนี้ฉันเลยคุ้นเคยกับห้องสมุดเป็นอย่างดี
ฉันไปที่โซนประวัติศาสตร์และหยิบหนังสือเกี่ยวกับช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคคริสตศักราชกับยุคเทวศักราชออกมา
หนังสือเล่มนี้มีตรา [ผ่านการตรวจสอบโดยแผนกสารคดีประวัติศาสตร์ของไทชะ] ประทับไว้ที่หน้าแรก หนังสือที่มีตราประทับคือหนังสือที่ผ่านการตรวจสอบโดยไทชะ ซึ่งหมายถึงเนื้อหาในหนังสือไม่มีปัญหาอะไร ไม่เหมือนกับหนังสือแปลกๆ ที่ลิลลี่มักเอามาให้อ่าน หรือก็คือ ประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนลงในหนังสือพวกนี้มีมาจากข้อมูลจริง
ฉันนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มอ่านมัน แม้ลิลลี่จะไม่อยู่ แต่สิ่งที่ฉันทำกลับไม่ต่างจากกิจกรรมชมรมที่ทำตามปกติ
เพราะไม่ค่อยตั้งใจเรียนสักเท่าไหร่ เลยไม่เคยอ่านประวัติของชิโกกุอย่างจริงจัง เรื่องเหตุการณ์เมื่อเกือบสามสิบปีก่อนที่นำมาสู่ยุคเทวศักราชและช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านที่รู้มีแค่จากรายการ TV เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และคร่าวๆ จากวิชาประวัติศาสตร์ในห้องเรียน
แต่ตอนนี้ฉันกำลังอ่านมันอยู่ ดูเหมือนจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นเยอะเลย
ปี ค.ศ. 2015 มีสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ที่ถูกเรียกว่า [โฮชิคุสึ] กับ [เวอร์เท็กซ์] ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน จนถึงตอนนี้ข้อมูลเกี่ยวกับมันมีน้อยมาก ไม่ชัดเจนว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ สัตว์ประหลาดนั่นนำพาการล่มสลายมาสู่ประเทศญี่ปุ่น ในเวลาเดียวกัน ชินจูกับกำแพงก็ผุดขึ้นที่ชิโกกุ และด้วยพรคุ้มครองแห่งชินจูทำให้ชิโกกุรอดพ้นจากชะตากรรมที่ต้องถูกทำลาย ขัดขวางไม่ให้โฮชิคุสึและเวอร์เท็กซ์เข้ามาชิโกกุ
ต้นปี ค.ศ. 2018 เวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสึเริ่มสามารถข้ามกำแพงได้ ผู้กล้าแห่งไทชะ(ที่ตอนนั้นเขียนว่า [ศาลเจ้าใหญ่]) เข้าปกป้องชิโกกุจากพวกมัน ในหมู่พวกเขามีสองคนที่มีพลังต่อสู้สูงมากและปราบเวอร์เท็กซ์ไปมากมาย ชื่อของสองคนนั้นคือโนกิ วาคาบะกับทาคาชิม่า ยูนะ ทุกการต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์จะอยู่ในที่ที่ปลอดผู้คน และมีแค่คนขององค์กรไทชะเท่านั้นที่เห็นการต่อสู้ของพวกเขา บันทึกการต่อสู้ถูกรายงานและเก็บโดยไทชะ และไม่เคยถูกเผยแพร่ออกมาสู่สาธารณะ
ในปี ค.ศ. 2019 ไทชะได้จัดพิธีกรรมหนึ่งขึ้น หลังจากนั้นก็ไม่มีการโจมตีจากเวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสึอีกเลย ในตอนนั้นผู้กล้าคนอื่นนอกจากโนกิ วาคาบะเสียชีวิตทั้งหมด
สันติมาถึงชิโกกุและดำเนินมาจนถึงทุกวันนี้
“ทาคาชิม่า ยูนะ…เหรอ”
ที่มาของชื่อของฉัน และสัญลักษณ์แห่งผู้กล้า ตัวตนมหัศจรรย์ในประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์…
ทาคาชิม่า ยูนะตายจากการต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ สละชีวิตเพื่อปกป้องผู้คนในชิโกกุ
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้…”
สละชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่น เครื่องหมายที่บอกว่าทาคาชิม่า ยูนะกับผู้กล้าคนอื่นๆ มีจิตวิญญาณอันสูงส่งมากกว่าใครๆ
ที่พวกเขาเป็นผู้กล้าเพราะพวกเขาคู่ควร?
หรือว่า…
การต่อสู้ของผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าอย่างที่ลิลลี่พูด?
ฉันอ่านหนังสือต่อ
หลังกลับมาจากห้องสมุด ฉันก็อยู่ห้องนั่งเล่นอ่านหนังสือที่ยืมมา ไม่นานแม่ก็กลับมาจากการประชุม
“กลับมาแล้วค่า”
แม่แสดงสีหน้าสงสัยเมื่อเห็นปกหนังสือ
“ลูก อ่านหนังสือด้วยเหรอ? หนังสือประวัติศาสตร์ซะด้วย แปลกๆ นะเนี่ย ทำการบ้านปิดเทอมเหรอจ๊ะ?”
“ประมาณนั้น”
ฉันหลีกเลี่ยงที่จะตอบความจริง
“แม่ แม่เคยเห็นเวอร์เท็กซ์หรือโฮชิคุสึหรือเปล่า?”
“ไม่เคยนะ แม่อยู่ชิโกกุมาตั้งแต่เด็ก แทบไม่เคยออกไปนอกเกาะเลย ถามทำไมเหรอจ๊ะ?”
“แค่สงสัยเฉยๆ เพราะอ่านหนังสือประวัติศาสตร์… เลยสงสัยว่ามันมีจริงหรือเปล่า?”
“เอ๋? มีจริงสิจ๊ะ แม่รู้จักคนที่น่าจะเคยเห็นนะ”
“จริงเหรอ?”
“จ้ะ รู้จักโรคกลัวท้องฟ้าไหม?”
“…น่าจะรู้นะ…”
“ถึงเดี๋ยวนี้จะไม่ค่อยมีแล้ว แต่ในช่วงท้ายยุคคริสศักราชและเริ่มต้นเทวศักราชมีผู้คนมากมายที่กลัวการมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นว่าโฮชิคุสึกับเวอร์เท็กซ์ลงมาจากท้องฟ้า เลยเกิดเป็นอาการ PTSD ของคนที่เคยเห็นมัน นั่นหมายความว่าผู้คนที่ป่วยเป็นโรคกลัวท้องฟ้าเคยเห็นเวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสึมากับตาแล้วไงล่ะ”
“โอ้ อย่างนี้นี่เอง…”
มีคนเคยเห็นมันจริงๆ สินะ
แต่ก็เคยมีคนที่บอกว่าตัวเองเคยเห็นผีกับ UFO เหมือนกัน ถ้าเทียบกับจำนวนคนที่ [เคยเห็น] เวอร์เท็กซ์กับคนที่ [เคยเห็น] ผี กลุ่มไหนจะเยอะกว่ากันนะ?
“ว่าไปแล้วยูนะ ลูกสนิทกับลิลลี่จังใช่ไหมจ๊ะ?”
จู่ๆ แม่ก็เปลี่ยนเรื่อง
“อืมม จะว่าสนิทก็ไม่เชิง แต่ช่วงนี้พวกเราอยู่ด้วยกันบ่อย”
“เหรอ เหรอ”
แม่พยักหน้าด้วยร้อยยิ้มอย่างมีความสุข
“เดี๋ยวนะ ทำไมถึงล่ะ?”
“ก็แม่ไม่เคยได้ยินยูนะคุยเรื่องเพื่อนมานานแล้วนี่นา”
“…เหรอ”
แม่พูดถูก มีแค่ไม่กี่คนที่ฉันสามารถเรียกได้ว่าเป็นเพื่อน ถึงฉันจะคุยกับประธานชมรมบาส วอลเล่บอล และเทนนิสอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้คุยดีขนาดเรียกได้ว่าเป็นเพื่อน เพราะงั้นเลยยากที่จะเล่าเรื่องให้แม่ฟัง
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ฉันก็มานั่งอ่านหนังสือต่อในห้องตัวเอง
“เฮ้อ…”
ฉันถอนหายใจ
จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉันเปิดลิ้นชักโต๊ะ ข้างในมีเงินทั้งหมดที่ฉันได้จากการช่วยชมรมผู้กล้าของลิลลี่
สุดท้ายฉันก็ไม่ได้ใช้เงินที่ลิลลี่ให้มาเลย และเก็บมันไว้ในนี้ ชักสงสัยว่าเก็บมาได้เท่าไหร่แล้ว
หลังจากนับเงินทั้งหมด มันมีถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นเยน เยอะสุดๆ ไปเลย
“จะเอาแต่รับเงินอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้แล้ว”
ขณะคุยกับตัวเองอยู่นั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้อง
“ยูนะ ว่างไหมลูก?”
ฉันเปิดประตูห้องแล้วเห็นแม่มีสีหน้ากังวล
“คุณฟุโยวพ่อของลิลลี่จังโทรฯ มาน่ะจ้ะ”
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เห็นว่าลิลลี่จังออกจากบ้านแล้วยังไม่กลับเลย เขาถามว่าลูกรู้หรือเปล่าว่าเธอไปไหน เพราะเห็นว่าช่วงนี้ลูกสองคนสนิทกัน”
“หนูไม่รู้เหมือนกัน วันนี้ยังไม่ได้เจอเลย…”
“งั้นเหรอ… อย่างกับว่าลิลลี่จังทะเลาะกับพ่อเลยนะ”
เรื่องมีอยู่ว่า ลิลลี่ทำอะไรแปลกๆ ที่โรงเรียนและทั่วเมือง(นั่นหมายถึงกิจกรรมชมรมผู้กล้า) เธอเลยโดนพ่อตำหนิและบอกให้หยุดทำเรื่องพวกนี้เสีย
จากนั้นลิลลี่ที่ต่อต้านก็ออกจากบ้านไป พ่อคิดว่าเธอจะกลับมาหลังจากนั้น ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้วแต่ลิลลี่ยังไม่กลับบ้าน โทรศัพท์ก็ไม่รับเหมือนกัน
“หนูจะไปหาลิลลี่เอง”
ฉันพูดกับแม่แล้วออกจากบ้าน
พอออกมาจากอพาร์ตเม้น ฉันก็โทรฯ เบอร์ของลิลลี่
หลังจากรอสักพัก ลิลลี่ก็รับสาย
‘ฮัลโหล่ หรือว่าจะเป็น ยูซุกิคุง?’
เสียงของเธอปกติ ไม่มีความโกรธหรือความเศร้าเจือปน
“อยู่ไหน?”
‘เกรงว่าตอนนี้จะบอกไม่ได้ ฉันกำลังเพลิดเพลินกับความสันโดษอยู่’
เสียงฟังดูจริงจัง คงถึงเวลาที่ฉันจะใช้ไพ่ตายที่เก็บไว้ก้นหีบแล้ว
“ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันจะเข้าชมรมผู้กล้า”
‘งั้นก็มาเลยยูซุกิคุง! มาจัดงานเลี้ยงต้อนรับกัน! ตอนนี้ฉันอยู่ที่สวนโคโตฮิกินะ!”
หวานหมู
แน่ใจนะว่านี่คือคนที่มีพรสวรรค์ที่สุดในจังหวัด?
ฉันวางสายแล้วไปที่สวนโคโตฮิกิ เดินไปไม่นานก็ถึง เพราะอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ตเม้นที่ฉันอยู่
นี่ก็มืดแล้ว ผู้คนที่ส่วนเลยบางตาลง
ลิลลี่อยู่ที่ชายหาดอาริอาเกะ เธอวางเรียงกิ้งไม้และยืนกอดอกร้องโอดครวญ
“ทำอะไรอยู่น่ะ?”
“โอ้ ยูซุกิคุง มาแล้วเหรอ ฉันกำลังสร้างแพอยู่น่ะ”
“แพ?”
“ใช่ ฉันรู้ตัวว่าการพยายามว่ายน้ำข้ามทะเลเซโตะเป็นเรื่องที่เกินจริงไปหน่อย เลยเปลี่ยนแผนเป็นข้ามด้วยแพแทน สู้ด้วยอาวุธครบมือย่อมดีกว่าอยู่ในชุดวันเกิดแหละนะ”
“แพ…”
นั่นก็ฟังดูเกินจริงสำหรับฉันเหมือนกัน
“ที่สำคัญกว่านั้น ยูซุกิคุง ในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าชมรมผู้กล้าแล้วสินะ!”
“ขอโทษนะ ฉันโกหก”
“…ว่าแล้ว… อย่างที่คิดไว้เลย… พ่อขอให้มาตามหาฉันสินะ?”
“ใช่ ฉันคิดว่าวิธีนี้จะได้ผลที่สุด”
ลิลลี่เริ่มเรียงกิ่งไม้อีกครั้ง
“…นี่ เอาจริงๆ เลยนะ ฉันก็คิดเหมือนกันว่าสิ่งที่เธอทำมันไม่ได้เปล่าประโยชน์”
ลิลลี่ไม่สนสิ่งที่ฉันพูดและเรียงกิ่งไม้ต่อ
“เรื่องข้ามกำแพงมันเป็นไปไม่ได้หรอก และไม่มีทางที่เวอร์เท็กซ์จะไม่มีจริงด้วย”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?”
ลิลลี่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“แต่… จะบอกว่าทุกคนในชิโกกุถูกหลอกงั้นเหรอ? เวอร์เท็กซ์กับโฮชิคุสึทำลายโลกไปแล้ว ส่วนที่ชิโกกุรอดมาได้ เพราะมีกำแพง และที่เราออกไปข้างนอกไม่ได้ เพราะมีเวอร์เท็กซ์อยู่… จะบอกว่าทั้งหมดนี่คือเรื่องโกหกเหรอ? จะมีใครโกหกเรื่องใหญ่ขนาดนี้ได้กันล่ะ? และทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย? หล่อนเองก็น่าจะเข้าใจดีไม่ใช่หรือไง!?”
“ไม่เลย”
ลิลลี่ตอบกลับทันที ด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์
“งั้นบอกหน่อยสิยูซุกิคุง เธอเคยเห็นพวกมันหรือเปล่า? ข้างนอกกำแพงนั่น มันมีสัตร์ประหลาดจริงหรือเปล่า?”
ลิลลี่พูดน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่แม้แต่หันมามองฉัน
“ไม่… ไม่เคย”
“ฉันก็ไม่เคยเหมือนกัน เวอร์เท็กซ์อาจมีอยู่จริงๆ แต่อาจไม่มีก็ได้ พวกเราไม่รู้จนกว่าจะได้เห็นด้วยตาของตัวเอง”
“…”
“ในมุมมองของฉัน คนที่หลับหูหลับตาเชื่อในสิ่งที่ไม่เคยเห็นกับตาเป็นพวกที่แย่ที่สุด ไม่ต่างอะไรกับพวกคลั่งศาสนา และคนพวกนั้นสามารถทำร้ายใครก็ตามที่เห็นต่างจากพวกเขา ฉันยอมรับไม่ได้”
ฉันสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังในเสียงของลิลลี่
“เวอร์เท็กซ์ไปสร้างปัญหาอะไรกับหล่อนหรือไง?”
“ไม่เคย แค่อยากเปิดเผยความจริงให้พวกที่เชื่ออย่างหน้ามืดตามัวได้รู้ พวกคลั่งไคล้โง่เง่าวิธีคิดตื้นเขินที่ไม่สนเรื่องตัวเองและทำร้ายคนอื่นนั่น”
โทนเสียงของลิลลี่ทำเอาฉันเสียวสันหลังวาบ ทั้งที่เป็นฤดูร้อนแท้ๆ แต่กลับหนาวไปถึงกระดูก
ใบหน้าของลิลลี่เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ ดวงตาใสๆ ยามปกติกลับมืดมัว
“ในอดีต มนุษย์เคยเชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางจักรวาล และดาวทุกดวงโคจรรอบโลก ที่เชื่ออย่างนั้นเพราะศาสนาและพระคัมภีร์บอก บรรดาผู้คนที่พยายามยืนยันว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลกลับถูกทำร้ายและล้มตายด้วยน้ำมือของพวกคลั่งศาสนา เหล่าคนมืดบอดที่เชื่อในคำพูดของไทชะก็ไม่ต่างอะไรจากคนพวกนั้น มนุษย์เราไม่เคยไปไกลจากจุดนั้นเลย นี่แหละสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์เรา หัวรั้น โง่เขลา และงมงาย น่าขำดีใช่ไหมล่ะ”
ลิลลี่ปลดปล่อยคำพูดเหล่านั้นออกมา
นั่นเป็นการแสดงหรือของจริงกันแน่?
มันยากที่จะเชื่อ
ถ้ามีคนบอกว่าเด็กสาวสดใสตามปกติเป็นการแสดง และเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความเกลียดชั่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นตัวจริง… ฉันก็เชื่อ
“ยูซุกิคุงเองก็เหมือนจะไม่เชื่อสิ่งที่ฉันพูดสินะ”
ฉันกลืนน้ำลายอย่างประหม่า บังคับตัวเองให้พูดออกมา
“ชะ…ใช่”
“งั้นเหรอ”
ลิลลี่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าดำมืดแล้วถอนหายใจเหือกใหญ่
จากนั้นเธอก็หันมามองฉันอีกครั้ง ด้วยร้อยยิ้มตามปกติบนใบหน้า
“งั้นก็… คงปล่อยให้พ่อเป็นห่วงมากกว่านี้ไม่ได้แล้วสินะ ฉันจะกลับบ้านแล้ว ขอบคุณที่มานะยูซุกิคุง ฉันไม่เป็นไรแล้ว”
ลิลลี่หยิบกิ่งไม้ที่วางไว้บนชายหาดมาห่อด้วยแผ่นไวนิลแล้วถือไปด้วย
“งั้น ยูซุกิคุง แล้วเจอกันนะ”
“ดะ-เดี๋ยวก่อน!”
ลิลลี่เมินเสียงเรียกของฉันแล้วเดินไปจากชายหาดอาริอาเกะ
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นลิลลี่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน
ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า -ตอนที่ 3- จบ
============================================
วันที่ x สิงหาคม
สิ่งมีชีวิตมีสัญชาตญาณที่ต้องการขยายพื้นที่ที่อยู่อาศัย เช่น พืชโปรยละอองเกสร เพื่อขยายที่อยู่อาศัยให้กับรุ่นต่อไป
ในยุคก่อน สิ่งมีชีวิตที่มาจากต่างถิ่น(ที่เรียกว่า [Alien Species (外来種)]) ก็ก่อให้เกิดปัญหา ซึ่งปัญหานี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าธรรมชาติและสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตต้องการขยายพื้นที่อยู่อาศัยมากขนาดไหน
นั่นคือเหตุผลที่ฉันมุ่งมั่นที่จะออกนอกกำแพง
แต่น่าเสียดาย
ที่พวกเราอาศัยอยู่ในโลกที่บิดเบี้ยว
ทั้งเรื่องที่ยูซุกิคุงเกลียดชื่อของตัวเอง ทั้งที่ฉันดื้อดึงกับเรื่องกำแพงและเวอร์เท็กซ์ – ทุกอย่างล้วนมีรากฐานมาจากโลกที่เปลี่ยนไปในช่วงท้ายยุคคริสตศักราช… ผลลัพธ์ที่เกิดจากโลกที่บิดเบี้ยว
ภายนอก เราอยู่ในโลกที่สงบสุข ทุกคนดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้อย่างสบายใจ แต่มันคือความบิดเบี้ยว และบางคนจมอยู่กับความบิดเบี้ยวนั้น
วันนี้เป็นวันตรวจร่างกายตามปกติ
และผลตรวจของฉันไม่มีอะไรผิดปกติ