[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 11
Ch.11 – -คาราสุมะ คุมิโกะไม่ใช่มิโกะ- ตอนที่ 1 แม้นเพิ่งได้เบิกตาดูโลก ก็หาใช่ห่างไกลจากความตาย ดั่งดอกซากุระ
Provider : SanGala
{พวกมหาดเล็กเรียกเราว่า เจ้าชายแสนสุข ซึ่งเราก็มีความสุขจริง ๆ พอเราตายพวกเขาส่งเราขึ้นมาอยู่บนนี้สูงจนเรามองเห็นความน่าเกลียดและความทุกข์ทั้งมวลของเมือง ถึงแม้น้ำตาเราจะเป็นตะกั่วแต่เราไร้ทางเลือกนอกจากต้องร้องไห้ ———ออสก้า ไวลด์, เจ้าชายเปี่ยมสุข}
เสียงจักจั่นดังก้องจนได้ยินจากนอกหน้าต่าง สายลมอบอุ่นถูกฉาบทาด้วยแสงแดดยามสนทยา
ฤดูร้อน ค.ศ. 2019
ฉันนั่งอยู่ในห้องทำงานที่ไทชะ ได้รับรายงานการเสียชีวิตของทาคาชิม่า ยูนะจากนักบวชคนหนึ่ง
“เธอใช้พลังของชูเท็นโดจิกำราบเวอร์เท็กซ์ขนาดใหญ่สามตัว แล้วสัญญาณชีพก็หายไปบริเวณใกล้ๆ กับชินจู… หลังจากจูไคหายไปก็ไม่เหลือหลักฐานการมีชีวิตอยู่ของทาคาชิม่า ยูนะ เลยยืนยันว่าเธอมีสถานะตายในหน้าที่… หืม”
ฉันมองไปที่นักบวชที่นำเอกสารนี่มาให้ เขาก้มหัวลงต่ำ หลีกเลี่ยงการสบตา
ตำแหน่งของฉันในไทชะมีอยู่สองอย่างคือนักบวชกับ [มิโกะของทาคาชิม่า ยูนะ] ให้เล่าสั้นๆ คือ ฉันเป็นคนพบผู้กล้าทาคาชิม่า ยูนะ และเป็นคนนำทางเธอมาที่ชิโกกุในวันที่ถูกเรียกภายหลังว่า [ภัยพิบัติ 30 กรกฎาคม] ในปี 2015 วันที่เวอร์เท็กซ์ปรากฏตัวเป็นครั้งแรก
ยูนะเข้าร่วมกับไทชะในฐานะผู้กล้า เช่นเดียวกับฉันที่เป็นมิโกะ แต่ในเวลานั้นพลังมิโกะของฉันก็ได้หายไปแล้ว ต่างจากมิโกะคนอื่นๆ อย่างอุเอซาโตะ ฮินาตะที่พบโนกิ วาคาบะ, อากิ มาสุซุที่พบโดอิ ทามาโกะกับอิโยจิม่า อันสึ หรือฮานะโมโตะ โยชิกะที่พบโคโอริ จิคาเงะ ทุกคนเป็นเด็กสาวที่สำแดงพลังมิโกะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งตอนนั้นฉันก็เข้าเลขสองมาสักพักแล้ว คงเพราะเลยช่วงอายุที่สามารถสำแดงพลังมิโกะแห่งชินจู ฉันเลยสูญเสียมันไปอย่างรวดเร็ว
แม้จะสูญเสียพลังมิโกะและลงมาเป็นนักบวช แต่เรื่องที่ฉันเป็นมิโกะผู้นำทางผู้กล้าก็ยังคงมีภาษีอยู่ ฉันเลยได้ตำแหน่งพิเศษในไทชะถึงแม้จะยังไม่มีประสบการณ์ก็ตาม จึงเป็นสาเหตุที่นักบวชตรงหน้าแสดงท่าทางนอบน้อมต่อฉัน
…เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ
“ฟูว… เข้าใจแล้ว ขออยู่คนเดียวสักเดี๋ยวนึงนะ”
นักบวชคนนั้นโค้งให้แล้วเดินออกจากห้องไป
อา เธอตายแล้วสินะ ยูนะ
คิดไว้แล้วล่ะว่าบุคลิกแบบนั้นอายุไม่ยืนหรอก
พระเยซูถูกตรึงกางเขนในฐานะคนบาป และตายตั้งแต่อายุเพียงประมาณสามสิบปี พระพุทธเจ้าผู้มีชีวิตจนถึงอายุประมาณแปดสิบปี และนิพพานท่ามกลางสาวกจำนวนนับไม่ถ้วน อะไรคือความแตกต่างของสองศาสดาในประวัติศาสตร์ที่คนรู้จักกันทั้งโลก ส่วนยูนะตายตั้งแต่อายุยังเพิ่งสิบสี่ปี
ฉันลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างเชื่องช้า รู้สึกร่างกายหนักกว่าทุกครั้ง แขนขาไม่ขยับอย่างที่ใจต้องการ หรือฉันจะไม่สบายกันนะ? อาจจะเป็นไข้ฤดูร้อนล่ะมั้ง
ไม่ ความจริงแล้วฉัน…
รู้สึกเสียใจ
ข่าวการจากไปของยูนะสร้างผลกระทบทางจิตใจให้กับฉันอย่างรุนแรง ไม่เคยคิดเลยว่าคนนิสัยแย่ๆ อย่างฉันจะมีความรู้สึกเหมือนมนุษย์แบบนี้ได้
บางทีฉันคงชอบยูนะมากกว่าที่คิดไว้
ฉันเปิดลิ้นชักใต้โต๊ะและเอาชั้นวางปลอมออก สิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใต้นั่นคือซองบุหรี่กับไฟแช็ก เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ตั้งแต่ก่อนเข้าไทชะ
ฉันหยิบบุหรี่ออกมาจากซองหนึ่งมวนขึ้นมาจุดไฟ แล้วนำเข้าปาก และสูดควันเข้าปอด
“…ห่วยแตก”
บุหรี่ซองนี้อายุเกินสี่ปีแล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องวันหมดอายุเลย ไม่แปลกที่ทั้งกลิ่นกับรสชาติจะออกมาห่วยได้ขนาดนี้ มันไม่เหลืออะไรเลยนอกจากนิโคตินกับทาร์
ถ้าอากิเป็นคนมาเห็นเข้าคงไม่พูดอะไร แต่ถ้าเป็นฮานะโมโตะคงแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างตรงไปตรงมา
พอสมองกลับมาทำงานตามปกติก็เริ่มคิดว่าจะทำอะไรต่อ
ฉันเห็นชั้นหนังสือที่หางตา ในนั้นเต็มไปด้วยหนังสือเอกสารกับวิทยานิพนธ์จำนวนนับไม่ถ้วน – มันคือร่องรอยของฉันสมัยยังเป็นนักศึกษา – อีกสามเล่มเป็นหนังสือภาพของนักเขียนชื่อว่า [โยโคเตะ มัตสึริ]
“…ตอนนี้คงต้องบอกเรื่องยูนะตายแล้วให้เธอได้รู้ก่อนสินะ”
โยโคเตะ มัตสึริเป็นเด็กผู้หญิงที่ฉันได้รู้จักในวันที่ 7 กรกฎาคม เธอบอกไว้ว่าความฝันของเธอคือการได้เป็นนักเขียนหนังสือภาพ แม้ยูนะกับฉันจะเข้าไทชะแล้ว มัตสึริก็ยังส่งหนังสือภาพที่ตัวเองทำมาให้ฉันปีละหนึ่งเล่ม เล่มแรกที่ส่งมาคือหนังสือภาพจากเรื่อง [เจ้าชายเปี่ยมสุข] ของออสก้า ไวลด์ ส่วนอีกสองเล่มเป็นเนื้อเรื่องที่เธอแต่งขึ้นเอง
หนังสือเล่มแรกเหมือนกับทำมาเพื่อล้อเลียนพวกเราสองคน หรือบางที่อาจเป็นวิธีส่งคำแนะนำของเธอ ส่วนอีกสองเล่มฉันไม่รู้ว่าต้องการจะสื่ออะไร
ฉันเริ่มเขียนจนหมายถึงมัตสึริ โดยเขียนลงไปบนแผ่นกระดาษที่ฉีกจากสมุดโน้ต ถึงแม้จะดูล้าสมัย แต่การส่งอีเมลตัวข้อความจะถูกบันทึกลงในที่ไหนสักแห่งในเซิร์ฟเวอร์ ฉะนั้นการเขียนจดหมายจึงปลอดภัยกว่า
การปล่อยข่าวการตายของผู้กล้าหลุดออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนกฏอย่างร้ายแรง แต่มัตสึริมีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องนี้
เพราะเธอคือมิโกะของทาคาชิม่า ยูนะตัวจริง
ฉันเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเมื่อสี่ปีก่อนขณะลิ้มรสชาติของบุหรี่หมดอายุ พอเทียบกับมาร์แซ็ลใน [กงเบรย์โลกใบแรกของมาร์แซ็ล] ที่ครุ่นคิดถึงอดีตขณะเพลิดเพลินกับขนมไข่แล้ว แบบนี้มันทั้งหยาบและไม่โรแมนติคเอาซะเลย
วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ฉันกำลังขับมอเตอร์ไซค์จากโอซาก้ามาเมืองโกเสะ จังหวัดนาระ
ในตอนนั้นฉันเป็นนักศึกษาปริญญาโทจากห้องปฏิบัติการมานุษยวิทยาวัฒนธรรมที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโอซาก้า ฉันกำลังทำการวิจัยเกี่ยวกับซากโบราณอากิซุ-นาคานิชิในเมืองโกเสะเพื่อนำไปเขียนรายงาน ที่ต้องมาที่นี่ก็เพื่อพบกับสมาชิกทีมวิจัยโบราณคดีคนหนึ่งที่รุ่นพี่แนะนำให้รู้จัก
คาดกันว่าซากโบราณอากิซุ-นาคานิชิมีความสำคัญต่อพิธีกรรมโบราณบางอย่าง ซึ่งตอนนี้อยู่ในช่วงการขุดค้นครั้งที่ 26 และการตรวจสอบส่วนที่ใหญ่ที่สุดของซากโบราณกำลังจะเสร็จในอีกไม่นาน หรือก็คือนี่เป็นโอกาสดีที่สุดครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้ข้อมูล
ฉันขับจากโอซาก้าผ่านทางด่วนฮันชินมุ่งหน้าไปยังทางแยกต่างระดับคันสึรางิที่นาระ ระหว่างทางก็เปิดฟังวิทยุบนสมาร์ทโฟนผ่านหูฟังไร้สาย ข่าวสารเกี่ยวกับภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วประเทศญี่ปุ่นที่เริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมกำลังพรั่งพรูเข้ามา แผ่นดินไหว, ไต่ฝุ่น, ฝนตกหนัก, อุณหภูมิที่พุ่งขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์…
“สภาพอากาศก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา แถมยังมีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นอีก”
ฉันพูดพึมพำกับตัวเองขณะคุมมอ’ไซค์
“โลกชักแปลกๆ ไปทุกที สงสัยในช่วงชีวิตของฉันคงได้เห็นมนุษย์สูญพันธุ์แหง”
โอซาก้ากับนาระที่ฉันรู้จักในตอนนั้นไม่ได้รับผลกระทบอะไรมาก อย่างร้ายแรงที่สุดก็แค่แผ่นดินไหวเบาๆ วันละไม่กี่ครั้ง แต่ถ้าหากแผ่นดินไหวกับภัยธรรมชาติยังเกิดขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้การขุดค้นอาจถูกเลื่อนหรือไม่ก็ถูกยกเลิกไป ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้กิจกรรมต่างๆ เป็นอัมพาต
ฉันมาถึงโกเสะตอนเที่ยงวัน ตามเวลาที่นัดเอาไว้ฉันจะต้องเจอกับเจ้าหน้าที่ขุดค้นในวันพรุ่งนี้ เลยเลือกที่จะใช้ทั้งเวลาที่เหลืออยู่ของวันขับมอ’ไซค์ไปทั่วเมืองเพื่อหาที่พักและที่ที่ซากโบราณอยู่
ถึงมันจะเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยของฉัน แต่ความรู้สึกที่จำได้ตอนนั้นค่อนข้างว่างเปล่าและน่าหงุดหงิด
ฉันวางแผนไว้คล่าวๆ แล้วว่าชีวิตจะดำเนินต่อไปยังไง ฉันจะเรียนจบมหา’ลัยแล้วไปเป็นวิทยากรในมหา’ลัยที่ไหนสักแห่ง ในหนึ่งปีจะต้องเขียนรายงานวิชาการสักเล่มสองเล่ม และใช้เวลาสิบกว่าปีไปกับเรื่องพวกนั้น เมื่อถึงจุดๆ หนึ่งฉันอาจจะได้แต่งงานมีลูกสักคน และสร้างครอบครัว จากนั้นฉันจะเข้ารับตำแหน่งรองศาสตราจารย์หรืออาจโชคดีขึ้นเป็นศาสตราจารย์ซะเองแทนที่คนเก่าๆ ที่เกษียณออกไป แล้วก็เขียนรายงานวิชาการปีละเล่มสองเล่มไปจนแก่ เป็นเส้นทางชีวิตที่น่าสิ้นหวังแต่ปลอดภัยไร้ที่ติ ไม่มีใครสามารถทำลายหรือทำให้ฉันหลุดออกจากเส้นทางนี้ได้
เมื่อจดจำลักษณะเฉพาะของภูมิประเทศบริเวณนี้เสร็จพระอาทิตย์ก็กำลังตกดินพอดี ฉันตัดสินใจแวะไปซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตสักหน่อยก่อนเข้าโรงแรม
ซึ่งซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ฉันแวะนั้นอยู่ติดกับเมรุ(火葬場 Kasōjō)ที่ถูกล้อมรอบด้วยหลุมศพนับไม่ถ้วน ความคอนทราสระหว่างความเป็นกับความตายเป็นภาพศิลป์ที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่
ฉันซื้อเครื่องดื่ม เบียร์ และข้าวกล่อง มีหลายครอบครัวมาซื้อของที่นี่ ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ
ระหว่างวางของลงในตะกร้าแล้วเดินไปที่แคชเชียร์ ภาพที่เห็นตรงหน้าก็เริ่มสั่น
ไม่ใช่ พื้นกำลังสั่นอยู่
เกิดแผ่นดินไหวขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ใช่แผ่นดินไหวเบาๆ ที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมา รอบนี้ค่อนข้างแรงกว่ามาก น่าจะไม่ต่ำกว่าระดับ 6
พวกลูกค้าเริ่มส่งเสียงกรีดร้องออกมา สิ้นค้าเริ่มหล่นลงพื้น
แรงสั่นสะเทือนดำเนินไปอยู่พักนึง ในที่สุดมันก็หยุดลง
ข้าวของกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด ทั้งพนักงานและลูกค้ากำลังแตกตื่น เครื่องคิดเงินก็ทำงานไม่ได้อย่างปกติเช่นกัน สงสัยคงได้ติดอยู่ที่นี่ไปอีกสักพัก ฉันมองออกไปข้างนอก พระอาทิตย์ตกดินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความมืดเริ่มก่อตัวขึ้น…
ทันใดนั้นเอง ฉันก็ได้ยินเสียงบางอย่างกระแทกเข้ากับกระจกหน้าต่างจากข้างนอกร้าน ในตอนแรกฉันไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร [สิ่ง] ที่กระแทกเข้ากับกระจกชุ่มไปด้วยของเหลวสีแดงและไหลรูดกระจกลงพื้น มันเป็นวัตถุที่เพรียวบางความยาวประมาณไม่กี่เมตร และถูกแยกออกเป็นสองส่วน
มันคือช่วงครึ่งล่างของมนุษย์
ส่วนบนของมันหายไป มีเพียงแค่ส่วนล่างที่ถูกฉีกแล้วโยนออกมากระแทกกับกระจก
เกิดเสียงกรีดร้องระงมไปทั่วร้าน รอบนี้ดังกว่าตอนแผ่นดินไหวหลายเท่า
ศพครึ่งล่างที่ถูกโยนเข้ามานี่เป็นของจริงหรือเปล่านะ? มันน่าคลื่นไส้เกินกว่าจะเป็นการแกล้งแผลงๆ แล้วคนทำเป็นใครกันล่ะ? และถ้าหากมันเป็นของจริง…
สิ่งที่เข้าใจตอนนี้คือมีบางอย่างผิดปกติ พอมองออกไปอีกฝั่งของกระจก ข้างนอกนั่น ภายในท้องฟ้าตอนกลางคืน มี [บางสิ่งบางอย่าง] ขนาดใหญ่หลายตัวกำลังเคลื่อนไหวอยู่ พวกมันตัวใหญ่กว่าหมีซะอีก ร่างของมันเป็นทรงกลมสีขาวโพลน ลักษณะของมันทำให้นึกถึงสิ่งมีชีวิตหน้าตาพิลึกใต้ทะเล ไม่สิ หนอนผีเสื้อน่าจะใช้จำกัดความรูปร่างของพวกมันได้มากกว่า การที่พวกมันสามารถขยับได้เป็นสิ่งยืนยันว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต แต่ฉันไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตแบบนี้มาก่อน และสัตว์พวกนั้นไม่ได้คลานบนพื้น มันลอยอยู่สูงจากพื้นขึ้นมาเล็กน้อยขณะกำลังเคลื่อนไหว
พวกสัตว์รูปร่างประหลาดสีขาวขยับได้กำลังไล่ล่าผู้คนที่อยู่นอกร้านและบดร่างพวกเขาด้วยปากขนาดใหญ่ของมันในความมืด รถที่จอดอยู่รวมถึงคนข้างในก็โดนพวกมันบดขยี้ไปทีละคันๆ
ส่วนร่างช่วงล่างของมนุษย์ที่กระแทกเข้ากับกระจกเมื่อกี้นี้คงมาจากคนที่ถูกพวกมันฆ่า
“พวกมันกำลังกินคนที่อยู่ข้างนอก!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอีกรอบ
ผู้ชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างฉันร้องโหยหวนวิ่งหนีออกไปจากร้าน เขาพยายามจะเข้าไปในรถที่จอดอยู่แต่ก็ถูกหนึ่งในสัตว์ประหลาดสีขาวกินเสียก่อน เลือดและเศษเนื้อร่วงหล่นจากปากของสัตว์ประหลาดลงสู่พื้นลานจอดรถ
อีกหลายคนที่พยามจะวิ่งเข้าไปในรถของตัวเองก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน บางคนโดนกินก่อนเข้าไปในรถ บางคนขึ้นไปบนรถได้ แต่ไม่ทันสตาร์ทเครื่องก็โดนกินซะก่อน
ผลของการพยายามหนีโดยไม่มีสติ คือกลายเป็นอาหารของพวกมัน
ฉันไม่รู้ว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นมันคืออะไร แต่เห็นได้ชัดว่าถ้ามันสามารถทำลายรถได้แบบนั้น อีกไม่นานพวกมันคงทำลายหน้าต่างไม่ก็หลังคาแล้วเข้ามาในร้าน ความวุ่นวายภายในร้านเริ่มแย่ลงไปทุกที
“ใครก็ได้โทรฯ ขอความช่วยเหลือที!”
“แล้วจะให้โทรฯ หาใครล่ะ!?”
“ตำรวจเหรอ!?”
“แบบนี้เรียกกองกำลังป้องกันตัวเองเถอะ!”
“มือถือมาเสียอะไรตอนนี้เนี่ย!?”
ผู้ชายกลุ่มหนึ่งช่วยกันดันรถเข็นช็อปปิ้งกับเชลวางของในร้านที่สามารถขยับได้ไปกองไว้ที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อใช้มันเป็นบาริเคด
ฉันใช้มือถือกดโทรฯ เบอร์ 110(สายด่วนฉุกเฉินของญี่ปุ่น) แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ มีเสียงรอสายอยู่แต่กลับไม่มีใครรับเลย ฉันลองโทรฯ เบอร์ 119(เบอร์ตำรวจ) แต่ไมมีใครตอบเช่นกัน
“…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เส้นทางชีวิตที่คิดไว้อย่างดีและไม่มีอะไรมาทำลายมันได้ กลับถูกสัตว์ประหลาดพวกนั้นทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
ตอนนี้มีสัตว์ประหลาดสีขาวสามตัวอยู่ข้างนอกร้าน ถ้าพวกมันเข้ามาข้างในได้ ทุกคนในที่นี้รวมถึงฉันคงไม่รอด
“เห้ย หุบปากไอ้เด็กเวรนั่นที!”
ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีดำคนหนึ่งตะคอกใส่เด็กผู้หญิงที่กำลังร้องไห้กับแม่ของเธอ ผู้ชายคนนั้นเป็นคนออกคำสั่งให้คนอื่นๆ ทำบาริเคดก่อนหน้านี้ เขาคงเป็นหัวโจกหรืออะไรสักอย่างในย่านนี้
ยอดเยี่ยม น่าจะใช้งานได้นะ
ฉันจับแขนผู้ชายคนนั้นทันทีที่เขากำลังจะใช้มันตีเด็กที่กำลังร้องไห้ ฉันหมุนมันเบาๆ และจัดเขาอยู่ในท่าล็อคแขน จากนั้นใช้ปากกาลูกลื่นที่หยิบออกมาจากในกระเป๋าจ่อที่คอ
“ไอ้ขยะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน การทำร้ายคนที่อ่อนแอกว่ามันไม่ใช่อะไรที่น่าชื่นชมเลยนะ”
ผู้ชายคนนั้นกัดริมฝีปากหันมาเขม่นใส่ฉันอย่างฉุนเฉียว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ต่อต้านโดยเปล่าประโยชน์ เขาพูด “เออ ยอมก็ได้” ออกมาอย่างห้วนๆ แล้วเดินออกไปราวกับอยากจะหนีไปให้ไกลจากฉัน จากนั้นบรรยากาศรอบข้างก็เปลี่ยนไป
แม่ของเด็กผู้หญิงแสดงสีหน้าขอบคุณจากใจจริง ผู้คนรอบตัวฉันก็ชื่นชมการกระทำเมื่อครู่ ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่ช่วยเด็กผู้หญิงและสั่งสอนผู้ชายจอมหยิ่งผยอง ฉันได้รับความนับถือและความเชื่อใจจากพวกเขาแล้ว
เพียงการกระทำเดียวก็ยกระดับฐานอำนาจของฉันเป็นอย่างมาก
“ฟังนะทุกคน! ฉันมีขอเสนอ!”
ทุกสายตาหันมาจับจ้องที่ตัวฉัน ความคาดหวัง, วิตกกังวล, สับสน, สงสัย… ฉันกวาดสายตาเพื่ออ่านทุกอารมณ์ความรู้สึกที่ส่งเข้ามา แล้วเริ่มพูดกับทุกคน
“อีกไม่นานสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะบุกเข้ามาในตึกนี่! ลองคิดดูสิ พวกมันมีพลังมากพอที่จะทำลายรถได้ บาริเคดแค่นั้นช่วยอะไรไม่ได้หรอก!”
“…แล้ว พวกเราต้องทำยังไงล่ะ?”
เด็กสาววัยรุ่นผมบลอนดูท่าทางเกเรถามขึ้นด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว น้ำเสียงแข็งกร้าวที่เปล่งออกมานั่นดูออกได้ในทันทีว่าเอาไว้เก็บซ่อนความกลัวของตัวเอง ฉันไม่ตอบคำถามของเด็กคนนั้น และพูดกับทุกคนต่อ
“พวกเราต้องออกไปจากตึกนี่แล้วขอความช่วยเหลือ!”
“แต่พวกสัตว์ประหลาดนั่นจะฆ่าเรานะ!”
“อย่างน้อยก็โชคดีที่ตอนนี้มีพวกมันแค่สามตัว! ถ้าพวกเราแบ่งออกเป็นกลุ่มและวิ่งแยกกันไปคนละทาง ก็มีโอกาสสูงที่จะรอด!”
คำพูดของฉันสร้างความมึนงงให้กับพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
“แต่… ถึงจะมีคนรอด แต่ก็ใช้ว่าจะรอดหมดทุกคนนี่น่า…”
ชายสวมแว่นดูท่าทางไม่มั่นใจในตัวเองพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก ทุกคนจะรอดแน่ ฉันจะเป็นตัวล่อเอง”
ฉันตอบ
ฉันอธิบายแผนให้พวกเขาฟังอย่างเข้าใจง่ายที่สุดที่ทำได้ มีดังนี้
กลุ่มคนที่จะวิ่งออกไปมีเพียงคนที่ร่างกายแข็งแรงเท่านั้น เด็ก, คนแก่ และคนป่วยให้อยู่ข้างในอาคาร เพื่อรอความช่วยเหลือจากหน่วยกู่ภัยที่กลุ่มแรกเรียกมา
ขั้นแรก ฉันจะวิ่งออกไปนอกร้าน แกล้งทำเป็นหนีเพื่อเรียกความสนใจจากพวกสัตว์ประหลาด เหมือนกับชายที่พยายามหนีและถูกกินไปก่อนหน้านี้ พวกสัตว์ประหลาดจะเข้าไล่ล่ามนุษย์ทันทีที่มันเห็น สัตว์ป่าส่วนใหญ่จะหนีทันทีเมื่อเห็นมนุษย์ แต่ดูแล้วพวกมันจะมีนิสัยที่แต่งต่างออกไป
หลังจากนั้น ให้คนที่สามารถวิ่งได้เริ่มวิ่งออกจากร้านโดนแบ่งออกเป็นกลุ่มห้าคนและเว้นช่วงทีละยี่สิบวินาที
พอพวกมันจะเริ่มไล่ตามฉันตอนที่ออกจากร้าน ฉันจะวิ่งหนีพวกมันและรักษาระยะเอาไว้ ภายในเวลาหกสิบวินาทีนี้ ฉันจะต้องนำพวกมันไปให้ไกลจากร้านมากที่สุดเท่าทีทำได้ การแบ่งจำนวนคนตามกลุ่มเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะผู้คนจะตื่นตระหนกหากมีคนจำนวนน้อยเกินไป แต่ไม่สามารถตอบสนองได้เร็วพอถ้ามีคนมากเกินไป แม้จะไม่มีพื้นฐานหรือหลักการมาอธิบายเรื่องนี้ แต่กลุ่มห้าคนถือว่าพอดีสำหรับฉัน
ฉันยืนอยู่หน้าทางเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ต กวาดตามองไปในความมืด และหายใจอย่างเป็นจังหวะ
ตรงนี้พอมองเห็นสัตว์ประหลาดตัวใหญ่สีขาวกำลังขยับอยู่ลางๆ ในความมืด ถึงการเคลื่อนไหวของพวกมันจะไม่ได้ว่องไวมาก แต่ความเร็วในการบินของมันไม่มีทางที่มนุษย์จะสามารถวิ่งหนีได้ทัน
…พอตัดสินใจได้ ฉันกัดฟันวิ่งออกไปข้างนอก
“ทางนี้! เข้ามากินฉันเลย!”
ฉันเริ่มจากตะโกนเสียงดังและวิ่งพุ่งตรงไปหาพวกมันเพื่อเรียกความสนใจ เมื่อพวกมันทั้งสามตัวหันมาสนใจและเริ่มไล่ตาม ฉันจะเปลี่ยนทิศทางการวิ่งและเริ่มหนีออกไปจากซุปเปอร์มาร์เก็ต
พวกมันได้เปรียบด้านความเร็ว ดังนั้นถ้าวิ่งอย่างเดียวคงโดนจับได้ง่ายๆ ฉันวิ่งไประหว่างรถที่จอดอยู่ในลานจอด พยายามใช้รถเป็นตัวขวางการเคลื่อนไหวของพวกมันสักเล็กน้อยก็ยังดี
แต่พวกสัตว์ประหลาดมีพลังมากพอที่จะทะลวงผ่านรถมาตรงๆ ดังนั้นการใช้รถจึงมีผลไม่มาก อย่างน้อยที่สุดก็พอซื้อเวลาให้ฉันได้บ้าง
พวกสัตว์ประหลาดปัดรถราวกับเป็นของเล่น บางคันถูกบดด้วยปากขนาดใหญ่ของมัน พวกมันเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ฉันกระโดดข้ามรั่วออกมาจากลานจอดรถแล้ววิ่งต่อไปที่เมรุ พวกสัตว์ประหลาดทำลายป้ายหลุมศพไปทีละป้ายๆ โดยไม่สนอะไร เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ได้มีความรู้สึกรู้สาต่อคนที่ตายไปเลย
“แฮ่ก… แฮ่ก… แฮ่ก…”
ฉันหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ ขาเริ่มหนักขึ้นอย่างช้าๆ ถึงจะเป็นนักศึกษามหา’ลัย แต่ฉันก็ใช้เวลาว่างไปออกกำลังกายพอสมควร ไม่เหมือนกับนักศึกษาคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตประจำวันไปอย่างนิ่งเฉย แต่ถึงอย่างนั้นความเร็วในการวิ่งก็เริ่มช้าลงแล้ว
ฉันสัญญาคนในร้านไว้แล้วว่าจะเป็นตัวล่อให้หกสิบวิฯ
ตอนนี้ก็ผ่านไปเกือบสามสิบวิฯ แล้ว
ฉันมั่นใจว่าตัวเองสามารล่อพวกสัตว์ประหลาดให้ออกห่างจากซุปเปอร์มาร์เก็ตได้เป็นเวลาหกสิบวินาที
หกสิบวินาทีนั่นเป็นเพียงแค่ที่ฉันเดิมพันไว้เท่านั้น ไม่ใช่เดิมพันกับพวกสัตว์ประหลาด ไม่เลย
ฉันเพียงทำตัวใจดีสู้เสือเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับพวกคนในร้านเท่านั้น
“…ยัยคาราสุมะโง่เอ้ย”
ฉันวิ่งตรงกลับไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตขณะที่ยังคงโดนตามอยู่
ผู้คนข้างในเริ่มพากันออกจากร้านแล้ว ยังผ่านไปไม่ถึงหกสิบวินาทีเลย พวกสัตว์ประหลาดจะกลับไปโจมตีผู้คนที่พยายามวิ่งออกมาแน่ พวกมันมีสติปัญญา แทนที่จะไล่ตามฉันคนเดียว พวกมันแยกออกเป็นสองกลุ่มเพื่อไล่ตามเหยื่อที่มีจำนวนมากกว่า
ตอนนี้เหลือเพียงตัวเดียวที่ไล่ตามมา ถือว่าลดปัญหาไปได้มาก
ฉันวิ่งไปถึงมอเตอร์ไซค์ที่จอดเอาไว้ที่ลานจอด ฉันโดดขึ้นขี่แล้วสตาร์ทเครื่อง ด้วยความเร็วของมอ’ไซค์นี่ทำให้ฉันสามารถหนีจากพวกมันได้
ฉันจะต้องพาพวกมันออกห่างจากร้านที่ผู้คนรออยู่หกสิบวินาทีเพื่อให้พวกเขาหนีไป และตาย
แต่พวกเขาไม่รอ พวกเขาไม่สามารถข้ามผ่านความกลัวที่กำลังไล่เข้ามาได้ ผู้คนที่หนีออกจากร้านคงกำลังจะถูกสัตว์ประหลาดไล่ล่าและถูกฆ่า
ฉันหันกลับไปมองผู้คนที่หนีออกมา คาดหวังว่าคงได้เห็นภาพพวกเขาถูกฉีกเป็นชิ้นๆ อย่างไร้ปราณี…
แต่สิ่งที่เห็นกลับเกินกว่าที่จิตนาการไว้
กลุ่มที่โดนโจมตีไม่ใช่ผู้คนที่หนีออกมา แต่เป็นพวกสัตว์ประหลาดสีขาว
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ระหว่างผู้คนที่พยายามจะหนีกับสัตว์ประหลาด เธอเหวี่ยงหมัดใส่พวกมัน การเคลื่อนไหวของเด็กสาวดูแล้วมีเชิงด้านการใช้ศิลปะการต่อสู้มาก่อน แต่ดูจากรูปร่างภายนอกคงอยู่ในวัยปะถม ตัวเล็กกว่าสัตว์ประหลาดนั่นเป็นสิบเท่าเสียอีก ตามปกติการโจมตีจากหมัดของเด็กตัวเล็กไม่น่าระคายแม้แต่ผิวของสัตว์ประหลาดด้วยซ้ำ
แต่สัตว์ประหลาดที่ถูกเด็กหญิงต่อยกลับมีเศษเนื้อหลุดออกมา มันพยายามทิ้งระยะห่างออกมาราวกับกำลังจะหนี เห็นได้ชัดว่ามันบาดเจ็บ
“ยูจัง! ระวังตัวด้วยนะ!”
คนที่เรียกเด็กปะถมปริศนาเป็นเด็กสาวในวัยมัธยมต้นที่ยืนอยู่ไกลๆ เธอวิ่งเข้าไปหาผู้คนที่พยายามจะหนีและเรียกพวกเขา
“เออ–คือ ดะ-ได้โปรดกลับเข้าไปด้วยนะคะ! จะได้ไม่ขวางการต่อสู้ของยูจัง!”
พวกเขายืนสับสน ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
(นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย? เด็กสองคนนั่นมีหัวคิดมากกว่าผู้ใหญ่ซะอีก)
…ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ตอนแรกที่วางแผนจะหนีด้วยมอ’ไซค์ แต่ฉันอยากเห็นเด็กพวกนั้นมากกว่านี้อีก
ฉันหันมอ’ไซค์กลับอย่างรวดเร็ว หลบเจ้าตัวที่กำลังไล่ฉันอยู่ จากนั้นก็พุ่งตรงไปที่เด็กปะถมที่กำลังต่อสู่อยู่
เด็กคนนั้นค่อนข้างสู้เก่งเลยทีเดียว แต่สถานการณ์ไม่ค่อยสู่ดีนัก ระหว่างที่กำลังต่อยสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอยู่นั่น อีกตัวก็พุ่งเข้ามาจากข้างหลัง
เธอสังเกตเห็นการโจมตีที่มาจากทางด้านหลัง แต่ไม่สามารถหลบได้พ้น ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าอีกก็ไม่ปล่อยการโจมตีนี้ไว้เช่นกัน
“ยัยหนู! อยู่นิ่งๆ ตรงนั้นแหละ!”
เด็กหญิงส่งเสียง “เอ๋?” ออกมาอย่างงุนงง และหันมาทางฉัน
ฉันเร่งความเร็วมอ’ไซค์จนสุดแล้วกระโดดลงมา ปล่อยให้มันพุ่งใส่หนึ่งในสัตว์ประหลาดพวกนั้น ในขณะเดียวกันก็ผลักเด็กหญิงลงกับพื้น และกอดเอาไว้เพื่อไม่ให้โดนสัตว์ประหลาดโจมตี ฉันกลิ้งไปตามทางยางมะตอยโดยมีเด็กสาวอยู่ในอ้อมแขน เสื้อการ์ดที่ฉันสวมอยู่ขาดออก ร่างกายปวดไปทั้งตัวจากแรงกระแทก
“อุ–อึก… เจ็บเป็นบ้า…”
แต่เด็กหญิงปลอดภัย ฉันช่วยเธอเอาไว้ได้
“มะ-ไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ คุณพี่สาว!?”
“อือ แค่ทะลอกนิดหน่อยน่ะ…”
ฉันยืนขึ้นมองไปที่พวกสัตว์ประหลาดสีขาว
ตัวที่ถูกมอ’ไซค์ของฉันชนไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ถ้าเป็นตามหลักสามัญสำนึกยังไงมอ’ไซค์ที่เร่งจนสุดก็ต้องมีแรงมากว่าหมัดของเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว
“ยัยหนู เธอต่อสู้กับสัตว์ประหลาดนั่นได้ยังไง?”
“เออ… หนูไม่รู้ค่ะ แต่ตอนที่หนูใส่เจ้านี่ มันก็ทำให้หนูคิดว่าสามารถสู้ได้”
ฉันมองเข้าไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าที่แขนทั้งสองข้างของเด็กหญิงสวมปลอกแขนอยู่ มันมีขนาดใหญ่และหยาบเกินไปสำหรับเธอ แถมยังขึ้นสนิมด้วย
มันยากที่จะเชื่อแต่ก็เหมือนกับพวกสัตว์ประหลาดที่ลอยอยู่นั่นแหละ ตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้น
“ขอบคุณที่ช่วยไว้นะคะคุณพี่สาว! หนูไม่เป็นไรแล้วค่ะ เพราะงั้นเดี๋ยวจะจัดการสัตว์ประหลาดพวกนั้นให้จบในรวดเดียวเลย!”
เด็กคนนี้… ต่อสู้ในศึกที่อันตรายเพื่อคนอื่น แบบนี้มันผิดปกติยิ่งกว่าปลอกแขนหรือสัตว์ประหลาดซะอีก
เธอมองสัตว์ประหลาดที่พุ่งเข้ามาและตั้งการ์ดขึ้น
…เด็กคนนี้ดูเหมือนจะรู้วิชาศิลปะการต่อสู้ แต่มันดันไม่เหมาะกับสถานการณ์แบบนี้ ทุกศาสตร์การต่อสู้มีสิ่งสำคัญคือ [สถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจง] ไม่ว่าจะสู้ในสังเวียนหรือข้างถนน ไม่ว่าจะมีความแตกต่างเรื่องน้ำหนัก ไม่ว่าจะได้รับอนุญาตให้เล่นงานส่วนสำคัญ ไม่ว่าจะใช้อาวุธได้หรือไม่ ไม่ว่าจะสวมเกราะอยู่ และอื่นๆ อีกมากมาย… แต่ละวิชาการต่อสู้ถูกสร้างมาเพื่อใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกัน ดังนั้นหากสามารถรู้ได้ว่าสถานการณ์ไหนควรต่อสู้ยังไง ก็จะแสดงประสิทธิภาพของมันออกมาได้ถึงที่สุด ถ้าหากนักสู้ผู้ใช้วิชาคาราเต้สู้กับนักสู้ผู้ใช้วิชาเคนโด้ นักสู้คาราเต้จะชนะภายใต้กฎของคาราเต้ ในขณะที่นักสู้เคนโด้จะชนะภายใต้กฎของเคนโด้ ไม่ว่าวิชาการต่อสู้ที่เด็กผู้หญิงคนนี้ใช้จะเป็นอะไร แต่มันไม่เหมาะกับสถานการณ์ที่ [ต้องล้มสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ขณะสวมปลอกแขนเหล็ก]
“ถือซะว่าเป็นคำแนะนำนะ” ฉันพูดกับเด็กหญิง “ตอนที่ต่อยให้พยายามรักษาสมดุลที่เท้าเอาไว้ คอยคำนึงถึงการหมุนเอว และต่อยออกไปให้เหมือนกับทิ้งน้ำหนักทั้งตัวใส่ศัตรู ตั้งสมาธิไว้กับการโจมตีครั้งเดียวพอ ไม่ต้องทำฟุตเวิร์คหรือต่อยซ้ำหลายครั้ง”
“เอ๋? อึ-อื้ม หนูจะลองดูค่ะ!”
ตามปกติ แค่ได้ฟังครั้งเดียวไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ในทันที แต่วิธีการเหวี่ยงหมัดของเด็กหญิงเปลี่ยนไปตามที่ฉันบอก หมัดต่อมาของเธอทำให้สัตว์ประหลาดแหลกไปในทันที
“…อย่างนั้นแหละถูกต้องแล้ว และตอนที่โจมตีให้ตะโกนดังๆ ออกมาด้วย!”
“ได้เลยค่ะ! โอ้วววววววว!”
หมัดของเด็กหญิงแรงขึ้นมาก คงเป็นเด็กมีพรสวรรค์เรื่องศิลปะการต่อสู้สินะ
หมัดที่สอง ตามต่อด้วยหมัดที่สาม กำปั้นเล็กๆ ของเด็กหญิงคว่ำสัตว์ประหลาดที่เหลืออยู่ทั้งหมด สัตว์ประหลาดทั้งสามตัวหายไปในอากาศราวกับกำลังละลาย
พอสัตว์ประหลาดหายไป พวกเราก็มุ่งหน้ากลับไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต
“ยูจัง เป็นอะไรไหม!?”
เด็กสาวม.ต้น วิ่งเข้ามาหาเด็กปะถมด้วยความเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร! คุณพี่สาวคนนี้ช่วยฉันไว้”
คนอ่อนกว่าตอบ
ฉันพยายามต่อสายไปที่เบอร์ 110 กับ 119 แต่ครั้งนี้ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงรอสาย คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะโทรฯ ขอความช่วยเหลือ
“เออคือ… ขอบคุณนะคะที่ช่วยยูจังไว้ บาดเจ็บ… ตรงไหนหรือเปล่าคะ?” เด็กสาวม.ต้น มองเสื้อการ์ดขาดๆ ของฉันแล้วพูดขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก เธอก้มหน้าหลีกเลี่ยงไม่สบตากับฉัน คงเป็นเด็กขี้อายสินะ ตรงกันข้ามกับตอนที่สั่งให้พวกผู้ใหญ่ข้างนอกกลับเข้ามาในที่ปลอดภัยเมื่อกี้เลย
“แค่เสื้อขาดน่ะ และก็แผลถลอกที่ตรงนี้กับตรงนี้ แต่ไม่ได้สาหัสอะไรหรอก พอดีฉันรู้วิธีล้มยังไงให้เจ็บน้อยที่สุดน่ะนะ”
ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เสื้อการ์ดของฉันอยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้เลย
เด็กปะถมมองมาที่ฉันแล้วพูดขึ้น “หนูชื่อทาคาชิม่า ยูนะ แล้วคุณพี่สาวชื่ออะไรเหรอคะ?”
“คาราสุมะ คุมิโกะ”
“เออ… หนูชื่อโยโคเตะ มัตสึริค่ะ” เด็กสาวม.ต้น แนะนำตัวอย่างประหม่า
ทาคาชิม่า ยูนะกับโยโคเตะ มัตสึริ เด็กหญิงตัวน้อยร่าเริงสดใสกับเด็กสาวอายุมากกว่าท่าทางขี้อาย เป็นคู่ที่แตกต่างกันคนละขั้ว
ฉันล้มเลิกเรื่องโทรฯ ขอความช่วยเหลือและเริ่มหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ยังไงเราก็อยู่ในยุคที่สามารถหาข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว
ในเน็ตมีพูดถึงเรื่องที่เจอกับสัตว์ประหลาดสีขาวบินว่อนไปทั่ว คงเหมือนกับที่พวกเราเจอ มีหลายโพสจากคนที่ถูกพวกมันฆ่าคนในครอบครัวหรือไม่ก็เพื่อนฝูงไป
พอสังเกตดูโพสดีๆ ก็ทำให้ชัดเจนว่ามีพื้นที่ไหนบ้างที่ประสบปัญหาจากการโจมตีของสัตว์ประหลาดน้อยที่สุด
ชิโกกุเป็นหนึ่งในนั้น ถึงจะมีโพสที่พบเจอสัตว์ประหลาดที่ชิโกกุอยู่บ้าง แต่จำนวนถือว่าน้อยจนเทียบกับพื้นที่อื่นไม่ติด
“…ชิโกกุสินะ”
“เอ๋?”
โยโคเตะ มัตสึริมองฉันด้วยท่าทางมึนงง
“ฉันจะไปชิโกกุ ดูเหมือนว่าที่นั่นจะปลอดภัยที่สุด… จะว่าไป พ่อแม่ของพวกเธออยู่ที่ไหนเหรอ?”
“พวกเราแยกจากกันน่ะค่ะ…” ทาคาชิม่า ยูนะตอบหน้านิ่วคิ้วขมวด ส่วนโยโคเตะ มัตสึรินิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
“ถ้าชิโกกุเป็นที่ปลอดภัย พ่อแม่ของพวกเธอก็คงไปที่นั่นเหมือนกัน อยากจะไปกับฉันไหม?”
เด็กทั้งสองมองหน้ากันแล้วพยักหน้าตอบ
มอ’ไซค์ที่ฉันใช้ขับชนสัตว์ประหลาดอยู่ในสภาพเสียหายหนัก กล่องท้ายเองก็พังเช่นกัน แต่ของข้างในยังปลอดภัยดี ฉันหยิบเสื้อออกมาแล้วเอาไปเปลี่ยนในห้องน้ำ
“คุณคุมิโกะเป็นนักเคมีเหรอคะ?” ทาคาชิม่า ยูนะมองมาที่เสื้อกาวน์ที่ฉันสวมด้วยท่าทางสงสัย
“เปล่า ไม่ใช่นักเคมีหรอก ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือ ฉันเป็นนักวิจัยประวัติศาสตร์ฝึกหัดน่ะ”
ถ้าบอกไปว่า [มานุษยวิทยาวัฒนธรรม] หรือ [มานุษยวิทยา] เด็กคงไม่เข้าใจ
แรกเริ่มเดิมที นักวิจัยด้านมนุษยศาสตร์ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อกาวน์ ไม่เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ฉันแค่ใส่มันเพื่อทำให้รู้สึกแตกต่างจากคนอื่นเฉยๆ
หลังจากเริ่มเข้ามหา’ลัย ฉันก็เบื่อกับการใช้ชีวิตแบบนิ่งเฉย เลยอยากทำอะไรที่มันแปลกและแตกต่างจากคนอื่น ฉันทำทุกอย่างที่สามารถคิดได้ ยกเว้นเรื่องผิดกฎหมาย แม้แต่สิ่งที่ทำให้เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกคลื่นไส้หรือรังเกียจ ฉันทำมาหลายอย่างแล้ว
การใส่เสื้อกาวน์ในหมู่นักศึกษามนุษยศาสตร์ก็เป็นหนึ่งใน [เรื่องแปลก] ที่ฉันเริ่มทำตอนนั้น
เมื่อถึงเวลาที่ขึ้นเป็นนักศึกษาปริญญาโท การทำ [เรื่องแปลก] ซ้ำไปซ้ำมากลายเป็นกิจวัตรจนทำให้ฉันแยกไม่ออกว่าอะไรปกติอะไรแปลก หลังจากนั้นฉันก็เริ่มตั้งใจหลีกเลี่ยงพฤติกรรมแปลกๆ ไป แต่ก็ยังติดนิสัยชอบใส่เสื้อกาวน์อยู่
“นักวิจัย… หมายถึงนักวิทยาศาสตร์เหรอคะ? เป็นคนฉลาดจริงๆ เลยนะคะ!”
ดวงตาของทาคาชิม่า ยูนะเปล่งประกาย
ฉันเพียงยิ้มเยาะตอบกลับสายตาชื่นชมนั่น
“รู้ไว้ด้วยนะ คนที่โง่ที่สุดในโลกคือนักวิชาการ เพราะพวกเขาไม่สนอย่างอื่นนอกจากสิ่งที่ตัวเองถนัดยังไงล่ะ”
ฉันโยนเสื้อการ์ดที่ขาดรุ่งริ่งลงถังขยะในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วเดินออกมาข้างนอก ทาคาชิม่า ยูนะกับโยโคเตะ มัตสึริเดินตามมา
หลังจากพวกสัตว์ประหลาดปรากฏขึ้น มีผู้ชายคนนึงพยายามหนีมันด้วยรถของเขา แต่กลับถูกฆ่าก่อนเข้าไปข้างใน ฉันเดินตรงไปที่ซากที่เหลืออยู่ของเขา
“อึ้ย…”
โยโคเตะ มัตสึริหยุดและหันหน้าหนีจากศพ ไม่สามารถมองไปที่มันได้
“ถ้าไม่ไหวก็ไม่ต้องเข้ามาใกล้ก็ได้นะ”
“ขะ-ค่ะ… ขอโทษด้วยนะคะ…”
โยโคเตะ มัตสึริเดินออกห่างจากศพโดยมีทาคาชิม่า ยูนะตามไปคอยเป็นห่วง
ฉันใช้มือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของศพที่แทบไม่เหลือรูปทรงความเป็นมนุษย์อีกแล้ว อย่างที่คิดไว้ กุญแจรถอยู่ในนี้
ฉันเข้าไปในรถแล้วกดปุ่มสตาร์ทเครื่องโดยไม่มีปัญหาอะไร มันยังมีน้ำมันเหลืออยู่อีกเยอะด้วย
ฉันขยับรถแล้วขับไปหาโยโคเตะ มัตสึริกับทาคาชิม่า ยูนะ
“ขึ้นมาเลย พวกเราจะไปชิโกกุกัน ถ้าทุกอย่างราบรื่น พวกเราจะไปถึงที่นั่นภายในครึ่งวัน ฉันวางแผนไว้ว่าจะแวะสถานีตำรวจระหว่างทางสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้คาดหวังความช่วยเหลือในสถานการณ์อย่างนี้อยู่แล้วล่ะนะ”
“…ไม่ได้ค่ะ”
คนที่พูดขึ้นคือทาคาชิม่า ยูนะ
“ไม่ได้? ไม่ได้อะไร?”
“พวกเราหนีไปกันแค่นี้ไม่ได้นะคะ พวกเราจะต้องพาคนที่อยู่ในซุปเปอร์มาร์เก็ตไปด้วยนะคะ”
“…โอ้ พูดน่ะมันง่ายนะ”
ฉันมองกลับไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ต ยังมีอีกเกือบสิบคนอยู่ในนั้น คนส่วนใหญ่หนีไปแล้วหลังจากสัตว์ประหลาดถูกกำจัด แต่ก็ยังคงมีคนเหลืออยู่อยู่ดี ในนั้นมีทั้งคนแก่และเด็กอยู่ด้วย
“เธอคงไม่คิดว่าจะพาทุกคนไปด้วยทั้งหมดใช่ไหม? การเคลื่อนไหวเป็นกลุ่มมันอันตรายเกินไป อีกอย่าง เราเอาคนทั้งหมดนั่นขึ้นรถคันนี้คนเดียวไม่ได้หรอกนะ”
“แต่พวกเราจะทิ้งทุกคนไว้ที่นี่ไม่ได้ หนูไม่ไปถ้าไม่พาพวกเขาไปด้วย”
ทาคาชิม่า ยูนะไม่ยอมตาม ฉันควรทำยังไงดี
ระหว่างทางไปชิโกกุอาจได้เจอกับสัตว์ประหลาดก็ได้ พวกมันปรากฏตัวทั่วทุกหนแห่ง และถ้าต้องเจอกับพวกมันจริงๆ มีเพียงทาคาชิม่า ยูนะคนเดียวเท่านั้นที่สามารถสู้ได้
“…ก็ได้ เชิญตามสบายเลย คงไม่มีทางอื่นนอกจากหารถที่ใช้ได้แล้วขับไปด้วยกัน”
“อืม ถ้าอย่างนั้น… หนูจำได้ว่าเห็นรถบัสคันนึงระหว่างมาที่นี่ บางที่เราอาจจะใช้มันได้ก็ได้นะคะ?” โยโคเตะ มัตสึริพูดอย่างประหม่า
มีรถบัสเล็กจอดอยู่ที่มุมของลานจอดซุปเปอร์มาร์เก็ต จะเรียกว่าจอดก็ไม่ถูก น่าจะถูกทิ้งไว้ซะมากกว่า
เมื่อเข้าไปข้างในรถบัส ก็เจอเข้ากับผู้หญิงคนนี้นอนอยู่บนพื้นรถโดยไม่มีอะไรบอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าหล่อน มีเลือดไหลออกมาจากหัวของเธอ ฉันเข้าไปตรวจสอบชีพจร แต่ดูเหมือนเธอจะตายไปแล้ว พอเดินไปเช็คที่นั่งคนขับดูก็เห็นว่ามีกุญแจรถเสียบไว้อยู่
รถบัสนี่สามารถบรรทุกคนที่อยู่ทั้งร้านได้ ฉันมีใบขับขี่รถขนาดกลาง และเคยมีประสบการณ์ขับรถบัสเล็กด้วยเช่นกัน
โยโคเตะ มัตสึริเอามือปิดปากและล้มลงกับพื้นเมื่อเจอศพเข้า
“อึก… แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก อือ แฮ่ก….”
หน้าของเธอซีดเผือดและเริ่มหายใจระรัว
“อ้า แย่แล้ว!”
ทาคาชิม่า ยูนะรีบวิ่งไปใช้เสื้อเช็ดเลือดที่ออกมาจากหัวของศพ
“ขอโทษนะยูจัง… ขอบคุณนะ…”
พอเลือดจากศพหายไปจากสายตา โยโคเตะ มัตสึริก็กลับมาหายใจได้ตามปกติ
“เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“คุณมัตสึริกลัวเลือดน่ะค่ะ…”
โยโคเตะ มัตสึริพยักหน้ายืนยันสิ่งที่ทาคาชิม่า ยูนะพูด
“ค่ะ… ขอโทษนะคะ ตอนอยู่ลานจอดรถ หนูพยายามไม่เข้าใกล้เลือดมาตลอด ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้วค่ะ…”
บางทีอาจเกิดจากประสบการณ์เลวร้ายในอดีตของเธอ โยโคเตะ มัตสึริมองไปที่ศพของผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นยางมะตอย แล้วถามขึ้นโดยที่หน้ายังซีดอยู่ “จะว่าไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้คือใครเหรอคะ?”
“ฉันไม่รู้ ตอนแรกอยู่บนรถบัสน่ะ เธอตายแล้ว”
“ตาย…”
“เป็นไปได้ว่าอาจจะโดนฆ่าตาย ในสถานการณ์แบบนี้ ความกลัวและตื่นตระหนกสามารถผลักดันให้มนุษย์ฆ่ากันเองได้”
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไรที่มีคนตายในเหตุการณ์การประท้วงและจลาจลในต่างประเทศ และสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้แย่ยิ่งกว่าการประท้วงหรือจลาจลซะอีก
“ศพนี่” ฉันหยิบบุหรี่ออกมาจากกระเป๋าแล้วจุดมัน “อาจจะเป็นเราสักคนในอนาคต การเดินทางกลุ่มใหญ่หมายถึงมีโอกาสจะต้องเผชิญกับภัยจากภายในอยู่ทุกเมื่อนั่นแหละ”
โยโคเตะ มัตสึริกับทาคาชิม่า ยูนะมองลงไปที่ศพของผู้หญิงด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“แต่ตอนนี้พวกสัตว์ประหลาดสีขาวนั่นหน้ากลัวกว่าภัยจากภายใน ไม่มีใครรู้ว่ามันมีจำนวนเท่าไหร่… จากที่อ่านในเน็ต มีผู้คนมากมายเจอมันทั่วทุกที่เลย”
“ถ้าพวกเราเจอกับสัตว์ประหลาด หนูจะต่อสู้และปกป้องทุกคนเอง คุณมัตสึริก็อยู่ด้วยทั้งคน”
ทาคาชิม่า ยูนะพูด
“แล้วเธอจะช่วยเรายังไง?”
“คุณมัตสึริสามารถสัมผัสได้ว่าสัตว์ประหลาดอยู่ที่ไหนค่ะ”
ฉันมองไปที่โยโคเตะ มัตสึริ
เธอตอบกลับมาว่า “ค่ะ… อะไรประมาณนั้น…” ด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง
ถ้าทาคาชิม่า ยูนะเป็นนักสู้ที่สามารถจัดการสัตว์ประหลาดได้ โยโคเตะ มัตสึริก็เป็นเรด้าที่สามารถตรวจจับพวกมันได้สินะ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น เด็กสองคนนี้ก็เรียกได้ว่าโง่มาก เพราะมันจะปลอดภัยกว่าถ้าทั้งสองหนีไปด้วยตัวเอง
ฉันเอาศพผู้หญิงไปทิ้งที่เมรุ อย่างน้อยก็ถือเป็นการไว้อาลัยให้ล่ะนะ หลังจากนั้นฉันก็บอกกับผู้คนในซุปเปอร์มาร์เก็ตว่าเราจะไปชิโกกุ
บางคนสงสัยว่าถ้าไปชิโกกุจะปลอดภัยจริงไหม แต่ไม่มีใครขัดข้องเรื่องการเดินทางไปด้วยกันทั้งหมดด้วยรถบัส ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าการเดินทางโดยมีทาคาชิม่า ยูนะที่สามารถต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุดตอนนี้
โยโคเตะ มัตสึริกับทาคาชิม่า ยูนะนั่งด้วยกันข้างหลังที่นั่งคนขับ ทาคาชิม่า ยูนะคล่อยหลับไปแทบจะทันทีหลังฉันเริ่มออกรถ เธอวางหัวลงบนไหล่ของโยโคเตะ มัตสึริและหายใจออกมาเบาๆ สภาพไร้การป้องกันแบบนี้แสดงได้ชัดว่าเธอไว้ใจเพื่อนคนนี้ ใบหน้าตอนหลับของเธอนั้นไร้เดียงสาจนไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกับที่สู้กับสัตว์ประหลาดก่อนหน้านี้
ขณะที่ทาคาชิม่า ยูนะหลับอยู่ โยโคเตะ มัตสึริก็เริ่มคุยกับฉัน
“คุณคาราสุมะ… ทำไมก่อนหน้านี้ถึงยิ้มล่ะคะ?”
“ตอนไหน?”
“ยูจังกับหนูมาถึงซุปเปอร์ฯ ตอนที่คุณคาราสุมะวิ่งออกไปพอดีค่ะ ได้ยินจากคนในนั้นมาว่าแผนของคุณคือใช้ตัวเองเป็นตัวล่อดึงดูดความสนใจจากสัตว์ประหลาดและปล่อยให้ทุกคนหนีไป หนูคิดว่าคนเป็นคนกล้าหาญและสุดยอด แต่ว่า…”
“แต่ว่าอะไร? พูดออกมาให้ชัด”
“ตอนที่คุณกำลังวิ่งดึงดูดความสนใจพวกมัน… และตอนที่พวกสัตว์ประหลาดหันมาโจมตีกลุ่มคนที่กำลังหนีออกไปจากร้าน… หนูเห็นคุณคาราสุมะกำลังยิ้มอยู่ค่ะ”
“เธอคงคิดไปเองแล้วล่ะ”
“…”
“ทำไมฉันถึงต้องยิ้มด้วยล่ะ? ตอนนั้นฉันอยู่ในช่วงความเป็นความตายเลยนะ ไม่ใช่เวลาที่จะยิ้มออกมาได้หรอก”
“คุณ… นั่นสินะคะ หนูอาจมองพลาดไป ขอโทษที่พูดอะไรแปลกๆ ออกมานะคะ…”
เป็นเด็กที่ตาแหลมมาก
ในตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของฉัน
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 3 ตอนที่ 1 จบ