[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 6
Ch.6 – -ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า- ตอนที่ 1 There is no time like the present.
Provider : SanGala
เด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูโทริอิที่อาบสายลมยามสนธยาบนยอดเขา นอกจากเราสองไม่มีใครอื่นออยู่ที่นี่ ช่างเป็นเด็กสาวที่ดูเปราะบางและมีบรรยากาศที่น่าพิศวง
เธอมองมาที่ฉันแล้วส่งยิ้มให้
“กำลังรออยู่เลย น่าประทับใจที่เธอรู้ความหมายในคำพูดของฉันแล้วตามมาจนถึงที่นี่”
นั่นคือการพบกันของฉันกับเด็กสาวที่มีชื่อว่า ฟุโยว ลิเลียธาล ยูนะ(芙蓉・リリエンソール・友奈)
Ⓞ Ⓞ
วันนั้นฉันลืมตาตื่นตอน 6 โมงเช้าเหมือนทุกครั้ง
แม้จะเป็นตอนเช้าแต่ด้วยความร้อนของเดือนกรกฎาคมก็ทำให้ฉันตื่นขึ้นมาในสภาพเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
“…วันหลังคงต้องเปิดแอร์ค้างคืนแล้วมั้ง”
ฉันเค้นเสียงพูดออกมาดังๆ เพื่อปลุกตัวเองให้ตื่น แล้วลุกขึ้นจากเตียง แล้วเดินออกจากห้องไปที่ครัว
ฉันกับแม่อาศัยอยู่ด้วยกันสองในอพาร์ตเม้นเก่าๆ แห่งหนึ่งในเมืองคันอนจิจังหวัดคากาว่า
หลังทำความสะอาดพื้นนิดๆ หน่อยๆ ฉันก็เอาแผ่นขนมปังใส่ในเครื่องปิ้งขนมปัง ระหว่างรอ ก็หยิบไข่กับเบคอนออกมาจากตู้เย็นและทำไข่ดาวเบคอน
จากนั้นก็วางขนมปังปิ้ง ไข่ดาวเบคอน และนมลงบนโต๊ะกินข้าว ฉันไม่ใช่พวกกินอาหารเช้าเยอะๆ หรือนักชิมที่เลือกกิน เพราะงั้นแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนเช้า
เมื่อเปิดทีวีดูก็เจอกับข่าวพยากรณ์อากาศ ผู้หญิงในจอกำลังพูดด้วยรอยิ้มหน้าแผนที่พยากรณ์อากาศ ‘‘‘พยากรณ์อากาศวันนี้จะมีแดดร้อน และคาดว่าจะร้อนถึงสามสิบองศาในช่วงเที่ยงวันเลยค่ะ ทางไทชะมีรายงานว่าที่ท่านชินจูกับกำแพงทะเลไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นค่ะ ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีและอย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆ นะคะ!’’’
ฉันเอาขนมปังเข้าปากระหว่างฟัง แล้วมองไปที่แบบสอบถามทางเลือกในอนาคตที่โรงเรียนให้มา
ในนั้นมีช่องสามช่องสำหรับใส่ชื่อโรงเรียนที่อยากศึกษาต่อ ซึ่งตอนนี้มันว่างเปล่า
ยังไงก็ไม่อยากเรียนต่อ ม.ปลายอยู่แล้ว
ไม่รู้จะใส่ชื่อโรงเรียนไปต่อที่ไหนดี แต่อย่างน้อยช่องใส่ชื่อกับวันที่ก็ไม่ได้ว่างเปล่า
2 กรกฎาคม ท.ศ. 29
ม. 2 ห้อง 3 ยูซุกิ ยูนะ(柚木友奈)
ยูนะ
ฉันเกลียดชื่อนี้
มันเป็นเหมือนฉลากที่บอกว่าเราควรจะเป็นใครสักคนที่พิเศษ
แต่ฉันไม่ได้พิเศษพิโสอะไรทั้งนั้น…
ขณะที่คิดอย่างนั้น แม่ก็เดินหาวออกมาจากห้อง
“โอ้ อรุณสวัสดิ์ยูนะ”
แม่ของฉันเพิ่งตื่นผมก็เลยยุ่งเหยิงไปหมด
“เดี๋ยวหนูทำข้าวเช้าให้ แม่ไปล้างหน้าก่อนเถอะ”
“จ้า จ้า”
ฉันลุกขึ้นไปทำไข่ดาวเบคอนกับขนมปังปิ้งอีกจานระหว่างที่แม่กำลังล้างหน้าแปลงฟัน
พอแม่ออกมาจากห้องน้ำ ฉันสังเหตุเห็นว่าแม่มีตาแดงก่ำและถุงใต้ตา
“เมื่อคืนอยู่ดึกเหรอ?”
ฉันถาม แม่พยักหน้าตอบกลับ
“กำหนดส่งต้นฉบับใกล้เข้ามาทุกที แต่พรุ่งนี้แม่ก็คงเสร็จแล้วจ้ะ”
แม่ของฉันเป็นนักแปล เธอแปลงานเขียนต่างประเทศในยุคก่อน —-แปลทุกแนว ตั้งแต่นิยายยันเอกสารทางวิทยาศาสตร์เป็นภาษาญี่ปุ่น
เลยทำให้แม่นอนดึกบ่อยครั้งและมีปัญหาในการตื่นตอนเช้า เพราะแบบนั้นหน้าที่ทำอาหารเช้าจึงตกเป็นของฉัน
แม่สังเกตเห็นแบบสอบถามทางเลือกในอนาคตที่ฉันวางไว้บนโต๊ะ
“แบบสอบถามทางเลือกเหรอ? หืม แม้แต่ ม.ต้นก็ต้องทำด้วยเหรอเนี่ย?”
“ทำสิ แต่อาจารย์บอกว่าเอาไว้ใช้อ้างอิงเฉยๆ เพราะหนูเพิ่ง ม.2 เอง”
“งั้นเหรอ แล้วลูกเล็งโรงเรียนไหนไว้ล่ะจ๊ะ รัฐฯหรือเอกชน ไม่ต้องไปสนใจเรื่องเงินหรอกนะ”
“…อืม”
ฉันพยักหน้าตอบ
หลังล้างจานเสร็จก็เปลี่ยนเป็นชุดนักเรียนและไปโรงเรียน
เพราะไปเช้าเสมอ เลยมีเวลาว่างระหว่างรอเริ่มเรียนคาบแรก
ฉันแวะที่สวนสาธารณะโคโตฮิคิที่อยู่ระหว่างทางไปโรงเรียน สวนนี้อยู่ใกล้หาดอาริอาเกะ เมื่อมาถึงก็เห็นผู้คนเดินกินลมชมวิวเต็มไปหมด
ถ้ามองไปทางทะเลจะเห็นเกาะอิบุคิจิมะกับเส้นสุดขอบฟ้า และเลยเส้นสุดขอบฟ้าไปสุดที่ตาเห็นก็คือ [กำแพง] ที่ตั้งมาเนินนาน
กำแพงนั้นไม่ได้ตั้งแค่ที่หาดอาริอาเกะ แต่มันล้อมรอบเกาะชิโกกุทั้งเกาะตั้งแต่ก่อนยุคที่มีชื่อว่ายุคเทวศักราช —-เหมือนว่ามันโผล่มารอบชิโกกุอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยในปีคริสตศักราชที่ 2015 และด้วยกำแพงนี้ทำให้ชิโกกุแยกตัวแจกโลกภายนอก
ว่ากันว่าตั้งแต่ปี 2015 มีเพียงกลุ่มคนกลุ่มเดียวที่เคยออกไปยังโลกภายนอก นั่นคือกลุ่มผู้หญิงที่ถูกเรียกว่า [ผู้กล้า] กับ [มิโกะ]
ว่าไปแล้ว ชื่อ [ยูนะ] ของฉันเองก็ได้รับมอบมาเพื่อเป็นเกียรติแก่หนึ่งในผู้กล้านั่น เหมือนว่าจะเป็นชื่อที่ตั้งให้กับเด็กผู้หญิงที่ทำท่าทางหนึ่งตอนที่เกิดมา (ซึ่งฉันไม่รู้ว่าเป็นท่าอะไร)
เหล่าผู้กล้าคือผู้ปกป้องชิโกกุจากสัตว์ประหลาดที่ถูกเรียกว่าเวอร์เท็กซ์เมื่อประมาณสามสิบปีก่อน เขาเล่ามากันอย่างนั้น
ฉันนั่งลงบนชายหาดแล้วหยิบแบบสอบถามออกมาจากกระเป๋าเรียน
“เฮ้ออออ…”
ฉันถอนหายใจออกมา
ฉันไม่ได้อยากเรียนต่อ ม.ปลายเลย ที่อยากได้คือ [พลัง] ต่างหาก
ถ้าถามว่า [พลัง] ที่พูดถึงคืออะไร ฉันคงให้คำตอบแบบชัดๆ ไม่ได้
บางทีคงเป็นพลังที่ทำให้ฉันสามารถใช้ชีวิตด้วยตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาใคร… เอาตรงๆ เลยก็คือ พลังในการหาเงิน
แต่ว่า ฉันไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น
ฉันไม่มีพ่อมาตั้งแต่จำความได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มีพ่อ พอถามแม่ก็ได้แต่คำตอบว่า ‘แม่จะบอกให้รู้เมื่อลูกโตเป็นผู้ใหญ่นะ’ แต่เมื่อไหร่กันล่ะ? แล้วคำว่า [เป็นผู้ใหญ่] มันใช้อะไรมาวัดกัน?
ที่จะบอกก็คือ แม่เลี้ยงฉันด้วยตัวคนเดียวมาตั้งแต่เด็ก
เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียว แค่คิดก็ยากแล้ว ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไงก็ถูกสังคมมองในแง่ลบ เพราะ [เป็นครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์] รวมไปถึงปัญหาด้านการเงินในการเลี้ยงลูกอีก
แต่แม่ของฉันมี [พลัง] แม่ชำนาญภาษาอังกฤษ สเปน และจีน จึงสามารถทำงานเป็นนักแปลได้ จำนวนนักแปลลดลงอย่างมากในยุคเทวศักราช ดังนั้นพลังของแม่จึงมีค่า และนั่นทำให้แม่หาเลี้ยงชีพได้
[พลัง]… เพราะมีพลังในการหาเงิน แม่จึงสามารถใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิและเลี้ยงฉันได้
ไม่ว่าในอนาคตฉันจะมีชีวิตแบบไหน ตราบเท่าที่มี [พลัง] อยู่ ฉันก็สามารถข้ามผ่านเส้นทางขวากหนามในชีวิตได้ ตรงกันข้ามถ้าฉันไม่มี [พลัง] นั้น แม้แต่เศษฝุ่นก็ทำให้ฉันสะดุดล้มได้ เป็นชีวิตที่น่าสังเวช
ฉันอยากได้ [พลัง]
ถ้ามีเวลามากพอที่ใช้ในการเรียน ม.ปลายล่ะก็ ขอเอาเวลานั้นไปใช้หาวิธีเอา [พลัง] มาดีกว่า
“ฟู….”
ฉันถอนหายใจอีกครั้ง เป็นครั้งที่สองของวันแล้ว
สุดท้ายก็ไม่ได้เขียนอะไรลงไปในแบบสอบถาม
ระหว่างที่ฉันเหม่อมองทะเล เวลาเรียนคาบแรกก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ว่ายังไม่ถึงเส้นตายในการส่งแบบสอบถาม ยังมีเวลาให้คิดอีกนิด แถมนี่เพิ่งเทอมแรกเอง คงมีอีกหลายคนที่ยังไม่ทำแบบสอบถามนี่เหมือนกัน
ฉันลุกขึ้นยืน ปัดเศษทรายออกจากกระโปรงแล้วไปโรงเรียน
โรงเรียนของฉันอยู่ไม่ไกลจากสวนโคโตฮิคิ เดินแปปเดียวก็ถึง
จะว่าไป ได้ยินข่าวลือมาว่าอีกไม่นานสถานที่ทั่วชิโกกุจะถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ สงสัยว่าโรงเรียนของฉันที่มีชื่อตามท้องถิ่นรวมในสถานที่นั้นด้วยหรือเปล่า
ระหว่างกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่ฉันก็เดินผ่านหน้าประตูโรงเรียนไป ขณะที่ใกล้จะถึงอาคารเรียน ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งหล่นลงพื้นข้างหน้าฉัน
“…เอ๋?”
ไม่ใช่แค่แผ่นเดียว พอมองไปรอบๆ ก็เห็นกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากท้องฟ้าราวกับดอกซากุระ
ฉันเงยหน้าขึ้น
มีเด็กสาวร่างเล็กคนหนึ่งยืนอยู่บนขอบดาดฟ้ากำลังโปรยกระดาษลงมา เธอมีหน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตาและผมสีบลอนด์ซ่อนสีแดงซึ่งหาได้ยาก มองจากไกลๆ ขนาดนี้แล้วก็ยังบอกได้เลยว่าสวยมาก
แต่…
“จงต่อต้าน! เบื่องลึกแห่งความเป็นจริงของกำแพง ชินจู และเหล่าผู้กล้าที่ถูกแย่งชิงไปจากพวกเรา! พวกเราไม่ใช่ประชาชนที่มืดบอด! พวกเราควรมีสิทธิ์เลือกที่จะเผชิญกับหุบเหวลึกหรือหันหน้าหนีจากมัน! ใครที่มีความปรารถนาที่จะมองลงไปยังหุบเหวให้มากับฉัน!”
สิ่งที่พูดออกมาเป็นสิ่งที่ยากจะเข้าใจและขัดกับรูปลักษณ์ที่งดงามของเธอ
อะไรของเขา…? ระหว่างที่มองขึ้นไปอย่างมึนงงกับเด็กสาว ฉันเห็นอาจารย์สองคนขึ้นไปบนดาดฟ้า ด้วยร่างกายที่เล็กและเพียวบางของเธอ ทำให้หลุดรอดจากพวกอาจารย์ไปได้…. แต่แล้วก็สะดุดล้มจนโดนอาจารย์จับตัวในที่สุด
“อย่าน้าา—-! ฉันไม่ยอมรับการกดขี่!! จะปฏิเสธอย่างถึงที่สุด!!”
อาจารย์ตะคอก “หยุดพูดได้แล้ว!” ใส่เด็กสาวที่กำลังร้องตะโกน แล้วพาตัวเธอไป
“อะไรกันนั่นน่ะ…?”
หลังความประหลาดใจหายไป ฉันก็หยิบหนึ่งในกระดาษที่เด็กสาวคนนั้นโปรยขึ้นมาดู
บนกระดาษเขียนไว้ว่า [[รับด่วน! ใครก็ตามที่มีความปรารถนาที่จะต่อต้านคำลวงปลอมเปลือกของพวกผู้ใหญ่! ติดต่อชมรมผู้กล้า -> 070-xxxx-xxxx]]
ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าหมายถึงอะไร
ว่าจะโยนมันทิ้งไปเหมือนใบปลิวแผ่นอื่นๆ และทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น… แต่สุดท้ายก็เก็บใส่กระเป๋าไปด้วย
“หมายถึงเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นตอนเช้ากับใบปลิวที่หล่นอยู่ทั่วพื้นใช่ไหม? นั่นคือคุณฟุโยว”
หลังเลิกเรียน คุณอิคุมะจากชมรมบาสหญิงเล่าเรื่อง [สาวน้อยบนดาดฟ้า] ให้ฉันฟังระหว่างพักซ้อม
“ฟุโยว?”
“ไม่รู้จักเหรอ? ชื่อเสียงเรียงนามของเขาดังไปทั่วโรงเรียนเลยนะ ม.2 คุณฟุโยว ยูนะ”
“เอ๋… ยูนะ?”
“ใช่ใช่ เหมือนกับคุณยูซุกินั่นแหละ”
ในโรงเรียนมียูนะคนอื่นนอกจากฉันด้วยเหรอ?
“ม.2 เหมือนกันเลย จากท่าทาง ความสวย และเป็นยูนะอีก… ไม่เคยสังเกตเห็นของดีแบบนี้ในชั้นเรียนเดียวกันได้ยังไงเนี่ย”
“อาฮ่าฮ่า คุณยูซุกิเองก็คิดว่าเธอสวยเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”
“… แค่เห็นจากที่ไกลๆ ยังรู้สึกเลยว่าเป็นคนสวย”
“ถ้าเธอไม่มีบุคลิกอย่างนั้นน่ะนะ แต่ก็โทษไม่ได้หรอกที่ก่อนหน้านี้จะไม่รู้จักคุณฟุโยว ตอน ม.1 เธอมาโรงเรียนไม่ค่อยบ่อยประกอบกับยังเป็นคนเงียบๆ อยู่ด้วย เธอเริ่มมาโรงเรียนทุกวันก็ตอน ม.2 แต่ที่ทำอะไรแปลกๆ นั่นน่ะเพิ่งเมื่อเดือนก่อนเองมั้ง สร้างชมรมที่เรียกว่า [ชมรมผู้กล้า] ขึ้นมา พูดเรื่องกำแพงบ้างล่ะไทชะบ้างล่ะ วันก่อนเธอใช้แอคเคาท์ของโรงเรียนส่งข้อความประกาศฉุกเฉินให้กับนักเรียนทุกคนเรื่องการรับคนเข้าเป็นสมาชิกชมรมผู้กล้า พวกอาจารย์โกรธมากเลยล่ะ”
นั่นทำให้ฉันนึกถึงตอนที่แม่พูดเรื่องสแปมข้อความฉุกเฉินที่ส่งมาในเน็ตช่วงนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องนี้ก็ได้
“อะไรทำให้เปลี่ยนไปขนาดนั้นกันนะ?”
“ไม่รู้สิ แต่ว่านะ ที่ไม่รู้เรื่องคุณฟุโยวเลยอาจเป็นเพราะบุคลิกของคุณยูซุกิเองก็ได้”
“หมายความว่าไง?”
“หมายถึง เธอไม่ใช่พวกชอบแสดงความสนใจในคนรอบข้างเลยน่ะสิ”
“…”
คงเป็นงั้น แม้จะไม่ถึงขั้นเรียกว่าไม่สนใจคนรอบข้างจนเอาแต่คิดเรื่องของตัวเองอย่างเดียวก็เถอะ วิธีการได้ [พลัง] มา นั่นคือสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวฉัน เลยเป็นเรื่องยากที่ฉันจะคิดเรื่องของคนอื่นที่อยู่ในชั้นเรียนเดียวกัน
“ก็นะ ตัวฉันเองก็ไม่ได้รู้เรื่องของคุณฟุโยวมากเหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อนกันนี่นะ”
“เหรอ… ขอบคุณนะ”
เวลาพักของชมรมบาสกำลังจะหมดลง
ฉันหันไปที่ทางออกของสนามบาสแล้วเดินไป
“เดี๋ยวสิ จะไม่ซ้อมต่อเหรอ?”
ได้ยินเสียงสลดของคุณอิคุมะไล่หลังมา
“ไม่ล่ะ ยังไงฉันก็ไม่ใช่คนของชมรมบาสอยู่แล้ว”
“แต่เธอเข้าร่วมการแข่งขันด้วยนะ”
“แค่งานเสริมน่ะ หนึ่งร้อยเยนต่อหนึ่งการแข่งขันไม่ได้ลืมใช่ไหม?”
ฉันไม่ได้อยู่ชมรมบาส แต่เข้าแข่งขันด้วยเป็นครั้งคราวเมื่อมีคนต้องการ เลยทำข้อตกลงกับประธานชมรมว่าขอหนึ่งร้อยเยนต่อการชนะหนึ่งแมตช์ แน่นอนว่าฉันใช้ข้อตกลงนี้กับชมรมวอลเล่บอลและชมรมเทนนิสด้วย
“คุณยูซุกิเก่งพอที่จะขึ้นไปอยู่ระดับสูงๆ ได้เลยนะ! แถมเธอเป็น [ยูนะ] ด้วย!”
“…”
“ขะ…ขอโทษ อย่ามองด้วยสายตาอย่างนั้นสิ”
คุณอิคุมะก้มหัวลง เหมือนจะตกใจนิดหน่อย
“…เปล่า ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะขึงตาใส่หรอก… แค่ไม่ชอบโดนพูดอะไรแบบนั้นแค่นั้นแหละ มีชื่อว่า [ยูนะ] ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนมีพลังพิเศษอะไรหรอกนะ”
ชื่อยูนะถูกมอบให้ด้วยเหตุผลพิเศษ นั่นหมายความว่าคนที่มีชื่อนี้จะต้องมี [พลัง] พิเศษบางอย่าง
ลึกลงไปในใจผู้คนส่วนใหญ่คิดอย่างนั้น
เป็นอุปทานในหมู่ผู้ใหญ่ที่มีอายุสามสิบขึ้นไปที่รู้จักความสำเร็จของผู้กล้าที่มีชื่อว่า [ยูนะ] แม้แต่เด็กรุ่นใหม่เองก็คิดว่าชื่อนี้ต้องมีอะไรสักอย่างที่พิเศษ
แต่เหตุผลเดียวที่ได้ชื่อยูนะคือทำอะไรสักอย่างแปลกๆ ตอนเกิด ไม่ได้หมายความว่ามีความสามารถหรือพลังพิเศษอะไรเลย
“ฉันแค่ตัวสูง แค่นั้นแหละ”
ที่ฉันได้มาคือส่วนสูง 171 ซม. เพราะแบบนั้นฉันเลยเก่งเรื่องกีฬา เก่งระดับที่ทุกชมรมต้องเข้ามาขอความช่วยเหลือ
แต่ก็ดีแค่นั้นแหละ
บาสเก็ตบอล วอลเล่บอล เทนนิส แค่ในคากาว่าก็มีคนที่เก่งเรื่องกีฬาพวกนี้มากกว่าฉัน มันเลยไม่ใช่ [พลัง] พิเศษอะไรเลย
“…นี่ คุณฟุโยว ยูนะมีอะไรพิเศษหรือเปล่าล่ะ?”
ฉันถามคุณอิคุมะ
เธอกอดอกคิดสักพักหนึ่งก่อนจะให้คำตอบ
“คงเป็นหน้าตาน่ารักล่ะมั้ง”
ไม่ไหว ไม่ช่วยอะไรเลยสักนิด
ฉันกลับมาถึงบ้าน นั่งลงที่โซฟาที่ห้องนั่งเล่นและดูใบปลิวของฟุโยว ยูนะ เธอมีชื่อยูนะเหมือนกับฉัน…
ในใบปลิวบอกว่า [ติดต่อชมรมผู้กล้า] แต่ชมรมผู้กล้าคืออะไร? เป็นชื่อที่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าจะมีกิจกรรมชมรมเป็นยังไง
ฉันพิมพ์เบอร์โทรฯ ที่ถูกเขียนไว้ลงในมือถือว่าจะลองโทรไปดู… แต่ไม่เอาดีกว่า ระหว่างที่คิดไปคิดมาอยู่นั้น แม่ก็เดินออกมาจากห้องทำงาน
“เฮ้อ พักสักหน่อยดีกว่า… ยูนะแม่จะทำข้าวเย็นให้นะ อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?”
เพราะไม่ทันระวังตัวเลยขยำใบปลิวแล้วยัดใส่ลงในกระเป๋ากางเกง
“…แม่ คนที่ชื่อยูนะมีหลายคนเลยเหรอ?
“หืม? ไม่น่ามีนะ แม่ไม่เคยเห็นใครนอกจากลูกเลย”
“ที่โรงเรียนหนูมีหนึ่งคน ชื่อฟุโยว ยูนะ”
“ฟุโยว ยูนะ… เอ๋!? หมายถึงลิลิจังเหรอจ๊ะ!?”
“ลิลิจัง?”
“ฟุโยว ลิเลียธาล ยูนะจัง! ว้าว… อยู่ชั้นเรียนเดียวกับลูกเหรอเนี่ย?”
ดวงตาของแม่เบิกกว้างด้วยความตกใจ
“ลิเลียธาล? ชื่ออะไรล่ะนั่น? เดี๋ยวนะ ทำไมแม่ถึงรู้จักคุณฟุโยวด้วยล่ะ?”
“โอ้ จำไม่ได้เหรอ? คงเพราะก่อนหน้านั้นยังเด็กอยู่ล่ะมั้ง แม่คิดว่าเด็กที่อายุมากกว่าสิบสองจะรู้จักกันซะอีก ประมาณหกเจ็ดปีก่อนเธออยู่แทบทุกที่ในทีวี ทั้งละคร โฆษณา และรายการวาไรตี้ในฐานะนักแสดงเด็ก”
“นักแสดงเด็ก…”
“ใช่ เธอน่ารักสุดๆ เลยล่ะและยังมีชื่อยูนะช่วยหนุนอีก เป็นลูกครึ่งด้วยนะ ดึงความสนใจได้มากเลยล่ะ”
“โห ถึงได้มีชื่อว่าลิเลียธาลสินะ”
ได้ยินมาว่าบางคนที่มาญี่ปุ่นก่อนกำแพงจะปรากฏขึ้นมามีชื่ออยู่ระหว่างชื่อต้นกับชื่อท้ายด้วย
“แม่คิดว่าลิเลียธาลเป็นแค่ชื่อในวงการน่ะ เด็กทุกคนที่เกิดหลังจากกำแพงปรากฏจะต้องลงทะเบียนชื่อในแบบญี่ปุ่น ทำให้ใส่ชื่อกลางไม่ได้ แต่ว่านะ ฟุโยว ยูนะเป็นชื่อจริงเหรอ? เมื่อก่อนเคยดังมากแท้ๆ แต่เลิกแสดงไปเมื่อปีก่อน แม่เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เธอทำอะไรอยู่… บังเอิญจังเลยนะ! อยู่โรงเรียนเดียวกับลูกด้วย!”
“……..”
นึกถึงเด็กสาวที่อยู่บนดาดฟ้าที่ฉันเห็นเมื่อเช้า คนที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า [พวกเพี้ยน]
อดีตนักแสดง
ลูกครึ่ง ยูนะ สวย – องค์ประกอบสุดโดดเด่นสามอย่างที่ทำให้เป็นคนพิเศษ
ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวงการบันเทิง แต่รายได้ต้องสูงมากแน่ๆ
น่าอิจฉา
ทั้งที่เป็นคนเพี้ยนแบบนั้น แต่กลับมี [พลัง] มากกว่าฉัน
วันต่อมาเป็นวันเสาร์
เมื่อวานแม่อยู่ข้ามคืนเพื่อทำงานให้เสร็จ กว่าจะตื่นก็คงเย็น
ฉันลองโทรไปที่ที่เขียนอยู่บนใบปลิวของฟุโยว ยูนะ
ผ่านไปหลายเสียงกริ้ง ก็มีคนรับสาย
“เออ คือว่า…”
‘…หึหึหึ กำลังรออยู่เลย รอใครสักคนที่จะโทรมาเบอร์นี้’
แค่ประโยคเดียว แต่บอกได้เลยว่าเสียงที่ได้ยินผ่านมือถือไม่ใช่เสียงจากคนธรรมดา เสียงของเธอไม่ได้ดัง แต่ชัดเจน ราวกับมันกังวานจากหูส่งตรงไปถึงสมอง ก็แน่ล่ะ เป็นถึงอดีตนักแสดงนี่น่า ไม่แปลกที่จะมีเสียงที่ชัดเจนและกังวานกว่าคนทั่วไป
‘ผู้แสวงหาหนทางเป็นสหายร่วมอุดมการณ์เอ๋ย! จงฟังให้ดี! ข้าจักรอเจ้าดั่งเทพวารีผู้เฝ้ามองนภาและกำแพง ผู้กล้าผู้แสวงหาหนทางสลัดผ้าคลุมแห่งความมืดที่บดบังวิสัย จง—’
ฉันวางสายก่อนฟังจนจบ
“เฮ้อ…”
ฉันมองขึ้นไปบนเพดานห้องแล้วถอนหายใจ
เสียงก็ฟังเสนาะหูดีอยู่หรอก แต่เรื่องที่พูดนี่มันแปลกสุดๆ เลย เธอเป็นตัวอันตรายจริงหรือเป็นแค่การแสดงกันแน่นะ? ไม่ว่าจะแบบไหน อย่าเข้าไปยุ่งด้วยจะเป็นความคิดที่ดีที่สุด
ลืมเรื่องของฟุโยว ยูนะไปซะ
ฉันพูดในใจ สิ่งที่ควรคิดคือหาวิธีที่จะได้ [พลัง] มาดีกว่า
…ฉันบอกกับตัวเองอย่างนั้น
ไม่กี่สิบนาทีต่อมา ฉันกำลังถีบจักรยานอยู่ใต้ลมแดดเดือนกรกฎาคม มองหาฟุโยว ยูนะในสภาพเหงือซกไปทั้งตัว
“แฮ่ก…. แฮ่ก… กำลังทำอะไรอยู่นะเรา…?”
ทั้งที่ตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงฟุโยว ยูนะ แต่สุดท้ายก็โทรฯ กลับไปอีกครั้ง
แต่ไม่มีใครรับสาย
ถ้าหากคำพูดเหล่านั้นเป็นปริศนาอะไรสักอย่างล่ะ? หรือว่าเธอจะให้ฉันไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งโดยใช้ปริศนานั้นนำทาง เหมือนกับในละครสืบสวนสอบสวน? ….อาจเป็นไปได้ถ้าเธอเล่นบทเป็นตัวอันตราย
[[ข้าจักรอเจ้าดั่งเทพวารีผู้เฝ้ามองนภาและกำแพง]]
นั่นต้องหมายความว่าฟุโยวกำลังรอที่ไหนสักแห่งที่สามารถมองเห็น [[กำแพง]] ได้
และส่วน [[เฝ้ามองนภา]] ต้องหมายถึงที่สูง… อาจจะเป็นบนยอดเขาหรือดาดฟ้า
จากนั้นส่วน [[เทพวารี]]… ถึงจะไม่มั่นใจเท่าไหร่ แต่คำว่าเทพ(神) อาจหมายถึงศาลเจ้า (神社) หรือไม่ก็ที่ไหนสักแห่งที่เกี่ยวกับสิ่งศักสิทธิ์
จากทั้งหมดที่ว่ามาคำตอบที่ฉันได้คือศาลเจ้าทาคายะ ที่นั่นเป็นศาลเจ้าขึ้นชื่อบนยอดเขาอินาซุมิในคันอนจิ และก็มีโทริอิที่บางครั้งเรียกว่า [ซุ้มประตูโทริอิในท้องฟ้า]
ฉันออกจากอพาร์ตเม้นไปพร้อมจักรยาน ปั่นผ่านโรงเรียนตรงไปทางเหนือและในที่สุดก็มาถึงตีนเขาอินาซุมิ
ฉันจอดจากจักรยานแล้วเริ่มปีนเขา แค่เดินก็ทำให้ชุ่มเหงือแล้ว ขณะที่กำลังเดินอยู่ก็หยิบขวดน้ำพลาสติกออกจากกระเป๋าเป้ขึ้นมายกดื่มเป็นครั้งคราว
เดินไม่นานก็เห็นบันไดที่สลักไว้ว่า [ศาลเจ้าใหญ่อินาซุมิ] และซุ้มประตูโทริอิ
แต่นั่นไม่ใช่บันไดที่ฉันต้องการ ถัดไปทางซ้ายจะเป็นทางนำไปสู่ยอดเขา นั่นล่ะทางไปศาลเจ้าทาคายะ
ต่อจากนี้ไปจะเป็นเส้นทางธรรมชาติล้วนๆ ไม่มียางมะตอยซ่อนอยู่ และฉันก็เดินไปตามทางนั้นโดยมีแสงอาทิตย์เดือนกรกฎาสาดส่องอยู่บนหัว
“อ้า…. นี่กำลังทำอะไรอยู่เนี่ย โธ่…”
นี่ฉันต้องการอะไรจากฟุโยว ยูนะกันนะ? พรรคพวก [ยูนะ] งั้นเหรอ? หรืออยากพูดคุยเรื่องความยากลำบากที่พวกมีชื่อยูนะอย่างเราต้องเผชิญ?
แต่ฟุโยว ยูนะ [พิเศษ] กว่าฉันเยอะ และมี [พลัง] ด้วย บางทีเธออาจไม่รู้สึกแย่ที่มีชื่อยูนะก็ได้
ระหว่างที่ปีนเขาอย่างขมักเขม้นอยู่นั้น ฉันก็มองเห็นเมืองคันอนจิผ่านแมกไม้ ขึ้นไปอีกนิด ก็เจอกับบันไดสูงขนาดต้องเงยหน้ามอง บางส่วนแตกหักและบางส่วนทำจากหินซ้อนทับกันแบบเรียบง่าย
“แฮ่ก… แฮ่ก…”
ฉันหายใจหอบแฮ่กแต่ก็พยายามปีนขึ้นบันไดไป… และในที่สุดก็ขึ้นมาถึงบริเวณศาลเจ้าทาคายะ
วิวจากยอดเขาอินาซุมิเหมาะสมกับคำจำกัดความว่าน่าทึ่ง มองขึ้นไปจะเห็นท้องฟ้าในฤดูร้อนที่ไร้เมฆบดบัง มองลงไปจะเห็นทั้งเมืองคันอนจิกับทะเลเซโตะ และอีกฝั่งหนึ่งของทะเล จะมองเห็นกำแพงที่ล้อมรอบชิโกกุ
แต่ว่า…
ไม่ว่าจะพยายามมองหาในศาสเจ้าสักแค่ไหนก็ไม่เจอเด็กสาวตัวเล็ก
“เฮ้ออ… ฉันนี่มันโง่จริงๆ”
ตั้งแต่แรกก็ไม่รู้อยู่แล้วว่าคำพูดของฟุโยว ยูนะเป็นปริศนาหรือเปล่า เธออาจจะพูดอะไรบ้าๆ บอๆ โดยไม่มีความหมายแฝงเลยก็ได้ พอมาคิดดูโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นก็เป็นไปได้สูง
“…กลับบ้านดีกว่า ครั้งนี้คงไม่อยากจำเรื่องของฟุโยว ยูนะอีกต่อไปแล้ว ลาขาด”
พูดราวกับกล่อมตัวเอง ฉันเริ่มเดินลงบันได และทันใดนั้นเองมือถือของฉันก็ดังขึ้น โทรมาจากเบอร์ที่ฉันจำได้ – นี่มันเบอร์ของฟุโยว ยูนะ
“…………”
ฉันนิ่งคิดว่าจะรับสายดีไหม ควรคิดให้ดีๆ สักสามสิบวิฯ
เสียงมือถือไม่ยอมหยุด สุดท้ายฉันก็เลือกที่จะรับสาย
“ฮัลโหล?”
‘…ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?’
เสียงของฟุโยว ยูนะเสนาะหูเหมือนเคย แต่ค่อนข้างต่างจากตอนที่คุยที่บ้าน แต่ก็หาจุดต่างแบบชัดเจนไม่ได้…
“ฉันอยู่ศาลเจ้าทาคายะที่หล่อนพูดเรื่องเกี่ยวกับเทพวารีอะไรไม่รู้ เลยคิดไปว่าอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่เจอล่ะนะ”
‘งั้นเหรอ ตามหาฉันจริงๆ ด้วยสินะ เป็นงานที่แสนเหนื่อยยา-…’
“ฉันจะกลับแล้ว ไม่มีเวลามาเล่นเกมของหล่อนหรอกนะ”
‘…!? เดี๋ยวก่อนสหายเอ้ย การยอมแพ้ให้กับเรื่องเล็กน้อยนั้นไว้สำหรับคนที่จิตใจและศรัทธาไม่แกร่งพอ ความคิดของเธอไม่ผิดหรอก มีอีกสถานที่หนึ่งที่เติมเต็มเงื่อนไขในแบบเดียวกัน ศาลเจ้าแห่งหนึ่งบนยอดเขา จงเน้นย้ำ [[เทพวารี]] ให้เป็นพิเศษ’
“………”
‘ฉันจะรอเธอที่จ—’
ฉันตัดสายทิ้ง
ทำไมต้องสนใจด้วยว่ายัยนั่นจะรอฉันหรือเปล่า ฉันจะกลับแล้ว ไม่สนฟุโยว ยูนะแล้ว
….หรือไม่ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่รู้สึกตัวอีกทีก็อยู่บนรถไฟตรงไปทางทิศตะวันออกบนสายโยซัน
“นี่ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่นะ…?”
ฉันพูดกับตัวเองเสียงเบาพอที่คนนั่งข้างๆ จะไม่ได้ยิน
ทั้งที่คิดจะกลับบ้านแท้ๆ ทำไมถึงมานั่งรถไฟได้เนี่ย!? ต้องเป็นเพราะอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเสียงของฟุโยว ยูนะแปลกไป อาจมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอก็ได้
ไม่สิ ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันอยู่แล้ว แค่ปัญหาของตัวเองก็มากพออยู่แล้ว เพราะมีชื่อเดียวกันไม่ใช่เหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่จะแสดงความห่วงใยเป็นพิเศษ
ระหว่างที่กำลังคิดวนไปวนมาอยู่นั้น ก็มาถึงสถานีทาคามัตสึ ฉันลงจากรถไฟแล้วเดินประมาณสิบนาที่จนมาถึงสถานีทาคามัตสึจิโกะและขึ้นโคโตเดนสายโคโตฮิระ
โคโตเดนคือรถไฟสองตู้รถที่ผ่านเขตชุมชนและบ้านส่วนตัว
ฉันตรงไปที่ภูเขาดาเคะเมืองมิกิ ที่ฟุโยวบอกว่าความคิดของฉันไม่ผิด บางทีอาจมีศาลเจ้าบนภูเขาอีกแห่งที่สามารถมองเห็นกำแพงทะเลได้นอกจากศาลเจ้าทาคายะ
เมื่อลองค้นหาศาลเจ้าบนภูเขาในมือถือดู ผลที่ได้มีแต่ศาลเจ้าทาคายะ หลังจากเลื่อนลงไปเรื่อยๆ ก็เจอกับภูเขาอิชิสึจิที่เอฮิเมะ… และภูเขาดาเคะที่คากาว่า
อิชิสึจิอยู่ไกลเกินไป และเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในชิโกกุ ถ้าไปที่นั่นตอนนี้คงได้กลับบ้านพรุ่งนี้ เลยเลือกไปที่ภูเขาดาเคะ นี่ไม่ใช่การให้เหตุผลแบบนิรนัยแต่เป็นวิธีกำจัดแบบเกาส์((高斯)消去法 Gaussian Elimination)
ฉันลงที่สถานีกาคุเอนโดริและไปทางใต้ มองหาเส้นที่มือถือพาไป หลังจากเดินไปได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงตีนเขา มีป้ายเล็กๆ อยู่ข้างทางเขียนว่า [เส้นทางขึ้นภูเขาดาเคะ – ทางเข้า]
“เอาจริงดิ…?”
เพราะมีศาลเจ้าอยู่บนยอดเขาเลยคิดว่าจะมีผู้แสวงบุญคนอื่นๆ เหมือนศาลเจ้าทาคายะ ไม่เห็นเหมือนอย่างที่คิดไว้เลย ทางขึ้นไปบนเขาดาเคะทั้งเล็กและมืดสลัวราวกับปฏิเสธไม่ให้ใครขึ้นไป ยิ่งกว่านั้น ฉันไม่เห็นใครเลยสักคน ที่นี่มีศาลเจ้าแน่นะ?
ถ้าเดินกลับไปหลังจากมาไกลขนาดนี้คงโดนหาว่าเสียสติไปแล้วแหง การปีนเขาสุดยากลำบากจึงได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง พระอาทิตย์กำลังตกดิน ถ้าฟุโยวไม่ได้อยู่บนนั้นฉันคงยอมแพ้ไปแล้ว
…ยอมแพ้
เหลวไหลดีนะ ราวกับฉันอยากเจอฟุโยวโดยไม่สนเหตุผลอะไรเลย จริงอยู่ที่ฉันสงสัยเรื่องที่เรามีชื่อเดียวกัน แต่ไม่ได้หมกมุ่นขนาดอยากจะเจอให้ได้ อย่างมากสุดฉันก็คิดแค่ว่าฟุโยวเป็นคนเพี้ยนที่มีหน้าตาดีเท่านั้น
ขึ้นเส้นทางมืดสลัวบนเขาไปเรื่อยๆ แล้วก็ออกจากป่ามาได้และถึงส่วนที่มีวิวดีๆ ให้ชม แต่เส้นทางเริ่มขรุขระและเดินยากขึ้นเรื่อยๆ จากตรงนี้มีเสาที่ผูกโซ่ไว้สำหรับให้คนปีนเขาเกาะไว้จะได้ไม่ล้มกลิ้งลงไป
ยิ่งปีนขึ้นไปก็ยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่เป็นทางตัดกลายเป็นหน้าผาหิน
“ล้อเล่นกันเล่นใช่ไหม…?”
พระอาทิตย์ใกล้ถึงพื้นเต็มที อีกไม่นานจะมืดแล้ว ไม่มีใครที่จะปีนขึ้นเขาหลังอาทิตย์ตก ดังนั้นถ้าเกิดล้มหรือบาดเจ็บขึ้นมาจะไม่มีใครเข้ามาช่วยแน่นอน
ฉันถอดกระเป๋าเป้โรงเรียนออกแล้ววางลงกับพื้น หากเกิดอะไรขึ้นจะได้สามารถใช้แขนทั้งสองข้างได้อย่างอิสระ
กำโซ่ไว้แน่นๆ แล้วปีนหน้าผาหินนั่นขึ้นไปทีละก้าว อีกไม่ไกลก็จะถึงยอดแล้ว ขอแค่ก้าวเดินไปอย่างระมัดระวังต้องถึงแน่
เมื่อปีนขึ้นมาข้างบนได้สำเร็จแล้วมองลงไป อย่างกับมองลงมาจากหน้าผาเลย ถ้าฉันกลัวความสูงล่ะก็คงขาสั่นจนหมดแรงเดินไปแล้ว
“แน่ล่ะ คงไม่มีคนแสวงบุญคนไหนใช้ทางนี้หรอก…”
เดินต่ออีกนิดก็มาถึงซุ้มประตูโทริอิที่ถูกเขียนว่า [ศาลเจ้าริวโอ(ราชามังกร)] แต่สิ่งเดียวที่เห็นหลังจากผ่านมันไปคือศาลโฮโคระเล็กๆ ไม่มีศาลาหรือจุดล้างมือ ดูยังไงก็ไม่ใช่ศาลเจ้าเลยสักนิด
และ…
มีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ซุ้มประตูท่ามกลางทิวทัศน์สีแดงฉาน ผมและผิวสีซีดของเธอถูกย้อมด้วยแสงของพระอาทิตย์ยามสนธยา ร่างที่เล็กราวกับเด็กน้อยและบรรยากาศนอบตัว ทำให้เธอราวกับเป็นภูตก็ไม่ปาน
นั่นคือฟุโย ยูนะ
ในที่สุดก็ได้เจอสักที
ฟุโยวมองมาที่ฉัน และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ
“กำลังรออยู่เลย น่าประทับใจที่เธอรู้ความหมายในคำพูดของฉันแล้วตามมาจนถึงที่นี่ได้ ฉะ-ฉันกำลังระ-รอคนอย่างเธอ…”
ใบหน้าสุดมั่นของเธอหายไปแล้วร้องไห้เข้ามาเกาะฉัน ฟุโยวกดใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนอกของฉัน
กะ-เกิดอะไรขึ้นเนี่ย? เธอเป็นพวกควบคุมอารมณ์ไม่ได้หรือไงกัน?
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน อะไรของหล่อนเนี่ย!? ทำไมจู่ๆ ก็ร้องไห้ล่ะ!?”
“ตะ-แต่ว่า… ฉันปีนขึ้นมาถึงบนนี้ได้ แต่กลัวที่จะปีนลงไป… แล้วฟ้าก็มืดลงเรื่อยๆ ด้วย หึก! ฉันไม่รู้จะทำยังไงถ้าไม่มีใครขึ้นมาก่อนที่มันจะมืด!….อุแแแแแง”
“…..”
อา…. เข้าใจล่ะ
ยัยนี่มันบ้า
เหมือนกับแมวที่ปีนขึ้นต้นไม้ได้แต่ลงมาไม่ได้
เธอปีนขึ้นมาบนศาลเจ้าริวโอ แต่กลัวที่จะปีนลงจากผา
ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าที่โทรคุยกันก่อนหน้านี้ทำไมเสียงของฟุโยวถึงแปลกๆ ไป เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ราวกับกลัวอะไรบางอย่าง
ฉันลูบหัวฟุโยวจนเธอหยุดร้อง เหมือนกับกล่อมเด็กให้หยุดร้องไห้
“ไม่ไหวแล้วอ้า! ขามันสั่นไปหมดแล้ว ถ้าเกิดก้าวพลาดแล้วหล่นลงเขาไปจะทำยังไง!?”
“พอเถอะน่า ใจเย็นแล้วปีนลงมาได้แล้ว และอย่ามองลงไปนะ! ถ้าเกิดหล่นลงมาเดี๋ยวฉันรับเอง นะ?”
“สะ-สัญญานะ! สัญญาว่าจะรับฉัน!”
หลังจากฟุโยวหยุดร้องไห้ พวกเราสองคนก็พากันปีนลงผาหินชัน เหลือเวลาไม่มากแล้ว ถ้าเกิดมืดขึ้นมาเส้นทางจะอันตรายมากแม้แต่กับตัวฉันเอง
ฉันลงจากผาก่อน จากนั้นก็ช่วยพูดปลอบขวัญให้ฟุโยวว่าถ้าเกิดก้าวพลาดหล่นลงมาจะช่วยรับให้
หลังจากปีนลงมาอย่างทุลักทุเล พวกเราก็มาถึงตรงที่ที่ไม่ชันมาก
“…แฮ่ก…แฮ่ก ขอบคุณนะ เธอช่วยชีวิตฉันไว้ นึกว่าจะต้องค้างคืนบนยอดเขาซะแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นคงอันตรายมากแน่ๆ”
ทันทีที่เรามาถึงที่ปลอดภัย ฟุโยวที่เอาแต่ร้องงอแงมาตลอดทางก็เริ่มยืดได้อย่างเต็มอก เป็นความสามารถในการเปลี่ยนมูดได้อย่างน่าชื่นชมจริงๆ
“แล้ว เธอชื่ออะไรเหรอ?”
“ยูซุกิ… ยูนะ”
“ยูนะ!? เธอเองก็เป็นยูนะงั้นเหรอ? เหมือนกับฉันเลย! คนที่เหมือนกันย่อมดึงดูดซึ่งกันและกันสินะ! เพราะเธอโทรตามเบอร์ที่ฉันให้ไปในใบปลิว หมายความว่าอยากเข้าร่วม [ชมรมผู้กล้า] ใช้ไหม?”
“…”
“ดีใจจริงๆ ที่ได้เจอเธอ ยูซุกิ ยูนะ! ยินดีต้อนรับสู่ชมรมผู้กล้า!”
ฟุโยวฉีกยิ้มกว้างยื่นมือให้ฉัน
แต่…
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ได้คิดที่จะเข้าชมรมผู้กล้าหรืออะไรทำนองนั้นหรอก”
“….ฟุเเเเเอว๋!?”
ฟุโยวส่งเสียงแปลกๆ ออกมา
ฟุโยว ยูนะไม่ใช่ผู้กล้า -ตอนที่ 1- จบ
**************************
วันที่ x กรกฎาคม
เมื่อวานฉันโปรยใบปลิวรับสมัครคนเข้าชมรมจากบนดาดฟ้าแล้วโดนอาจารย์ดุใส่ด้วยล่ะ แต่ผ่านไปไม่ถึงวันก็มีใครบางคน(ยูซุกิ ยูนะ ยูนะเหมือนฉันเลย!) อยากเข้าชมรมและโทรมาหาฉัน แต่คนที่จะเข้าชมรมของฉันที่มีเป้าหมายที่จะค้นหาความจริงของโลกนั้น จำเป็นต้องเป็นคนที่มีแรงบัลดาลใจและความกระตือรือร้น จะให้คนครึ่งๆ กลางๆ มาเข้าไม่ได้เด็ดขาด
เทพวารีหมายถึงมังกร เฝ้ามองท้องนภาหมายถึงบนยอดเขา และสามารถมองเห็นกำแพงกับทะเลได้จากตรงนั้นด้วย คำตอบของปริศนาคือศาลเจ้าริวโอบนยอดเขาดาเคะ <- ตอนแรกคิดว่าจะมองเห็นกำแพงได้จากตรงนั้น แต่แทบไม่เห็นเลย! ไม่เลยสักนิด!
ฉันรอยูซุกิ ยูนะบนยอดเขาดาเคะ และในท้ายที่สุดเธอก็แก้ปัญหาได้แล้วมาหาฉัน ถึงจะมีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น แต่ฉันก็สร้างภาพลักษณ์สุดคูลและลึกลับต้อนรับคุณยูซุกิ
แต่เธอกลับปฏิเสธข้อเสนอรับเข้าชมรมของฉันทั้งที่ผ่านบททดสอบเข้าแล้วเนี่ยนะ ทำไมล่ะ!? มนุษย์อย่างเรามีเวลาจำกัดนะ
ไม่มีใครรู้ว่าเราจะอยู่ได้นานเท่าไหร่
ชีวิตนั้นหายวับได้อย่างรวดเร็ว เหมือนแสงจากสายฟ้า เหมือนน้ำค้างในยามเช้า เวลาผ่านไปเร็วเหมือนลูกศรที่พุ่งออกจากคัน
ฉันจะต้องพูดโน้มน้าวให้เธอเข้าชมรมให้ได้เร็วที่สุด
เป้าหมายของชมรมผู้กล้าคือข้ามผ่านกำแพงอัปลักษณ์ที่ล้อมรอบชิโกกุ
และฉันต้องการพรรคพวกเพื่อการนี้ แม้จะเล็กน้อยก็ยังดี