[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 4
Ch.4 – -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 4 พานพบกันอีกครั้ง
Provider : SanGala
ฉันยืนอยู่ท่ามกลางดอกไม้สีแดงที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น
ฮิกันบานะ ดอกไม้ที่เธอสวมใส่ยามต่อสู้ สีแดงราวเปลวเพลิง มีพิษแต่เปราะบาง… เป็นดอกไม้ที่งดงาม
กองดอกฮิกันบานะสูงถึงเอวของฉัน ในแขนคู่นี้กำลังโอบอุ้มใบหน้าที่หลับไหลของคนที่ฉันรัก
มันควรเป็นภาพที่มีความสุข
หรือความโศกเศร้า
ไม่รู้เลย…
Ⓞ Ⓞ
เมื่อตื่นขึ้นมาก็เผชิญเข้ากับเพดาน
โดยปกติฉันนอนอยู่เตียงชั้นล่าง สิ่งที่เห็นเป็นสิ่งแรกเมื่อตื่นขึ้นมาคือใต้เตียงชั้นบน และมักจะได้ยินเสียงหายใจของรุ่นพี่อากิจากตรงนี้ บางครั้งมีเสียงกรนด้วย
แต่ไม่กี่วันมานี้เพดานห้องกลายเป็นสิ่งแรกที่ทักทายในตอนเช้า เพราะตอนนี้ฉันนอนบนเตียงธรรมดา ไม่ได้ยินเสียงหายใจหรือเสียงกรนจากรุ่นพี่อากิ
ไม่กี่วันก่อนฉันถูกย้ายมาอยู่อีกอาคารหนึ่งแทนห้องที่ใช้พักตามปกติ สาเหตุมาจากการพยายามที่จะหนีจากไทชะ ฉันถูกกักบริเวณเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมถึงต้องหนีไป
ตื่นขึ้นมาได้ไม่นาน ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เมื่อเปิดประตูก็พบกับอาจารย์คาราสุมะที่เอาอาหารเช้ามาให้
“เป็นยังไงบ้างฮานะโมโตะ? อยู่คนเดียวที่นี่คงลำบากสินะ ทำไมถึงไม่บอกเหตุผลที่พยายามหนีจากไทชะให้กับนักบวชแล้วกลับไปที่ห้องเดิมล่ะ? เหงาแย่เลยพอไม่มีอากิอยู่ด้วย”
“ไม่มีเลยสักนิดค่ะ” ฉันตอบในทันที “การอยู่คนเดียวมันไม่มีอะไรยากเลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องฝึกพิธีมิโกะงี่เง่าอะไรนั่นด้วย หนูว่าอยู่แบบนี่สบายกว่าเยอะค่ะ”
ถึงจะบอกว่าถูกกักตัว แต่ห้องที่อยู่นี่ก็ไม่ใช่คุก มีทั้งเครื่องปรับอากาศ อาหารสามมื้อ สามารถออกไปข้างนอกได้ถ้ามีนักบวชไปด้วย และอาบน้ำได้ด้วย ที่ขาดก็แค่ TV
“เฮ้อ…” อาจารย์คาราสุมะถอนหายใจ
ที่ถอนหายใจอย่างนี้ไม่ใช่เพราะไม่พอใจความดื้อดึงของฉัน ในใจเธอคงคิดว่า “ฉันเบื่อที่จะต้องมาฟังเรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ แล้ว”
“ที่เธอพยายามหนีเพราะความเห็นไม่ลงรอยกับนักบวชทำให้ไม่อยากอยู่ฝั่งไทชะใช่ไหม?”
ฉันไม่ตอบคำถามของอาจารย์คาราสุมะและเริ่มทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ
“อา คงไม่ใช่อย่างนั่นสินะ เธอไม่ใช่เด็กแบบนั้น และถ้าต้องการจะแสดงจุดยืนตรงข้ามกับไทชะ เธอควรทำออกมาให้ชัดเจนกว่านี้นะ เอาแต่ต่อต้านในใจไปมันไม่ได้อะไรหรอก”
“ในด้านจริยธรรม…” ฉันหยุดทานและเริ่มพูดขึ้น “มีการทดลองหนึ่งที่เรียกว่า [ปัญหารถราง(Trolley Problem)] อยู่ค่ะ”
“…อืม เป็นการวิจัยยอดนิยมชิ้นนึงเลย รถรางคันหนึ่งเกิดเสียไม่สามารถหยุดได้ บนทางข้างหน้ามีคนงานอยู่ห้าคนและถ้าไม่หยุดรถรางพวกเขาจะโดนชน แต่ถ้าดึงคันโยกสับราง รถรางจะไปอีกทางหนึ่งและห้าคนนั้นจะรอดปลอดภัย แต่อีกทางหนึ่งนั้นมีคนงานอีกหนึ่งคนที่จะถูกรถรางชนถ้าหากสับราง คุณจะดึงคันโยกหรือไม่”
“ถ้าไม่ดึงคันโยก ความตายของคนห้าคนจะกลายเป็นเพียงอุบัติเหตุ แม้หลังจากนั้นจะรู้สึกผิดในใจที่เราไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ ถ้าดึงคันโยกจะมีเพียงคนเดียวที่ตาย แต่เราเป็นคนฆ่าเขาด้วยมือของตัวเอง การวิจัยตั้งไว้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะต้องตายถ้าเราทำอะไรสักอย่าง”
“…”
“ไทชะเลือกที่จะ [ดึงคันโยก] เลือกที่จะเสียสละผู้กล้า… เสียสละท่านโคโอริเพื่อช่วยเหลือคนให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่ได้ลองคิดไหมว่า ถ้าฆ่าคนห้าคนที่อยู่ในปัญหารถรางจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่มีใครต้องถูกช่วยโดยการดึงคันโยก เท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแล้ว หนูพูดถูกไหม?”
“นั่นน่ะ” อาจารย์คาราสุมะเริ่มพูดขึ้นอย่างไม่แยแสใดๆ “เป็นการเมินเฉยต่อหลักการปัญหารถรางนะ แต่ช่างมันเถอะ ที่เธอหนีจากไทชะเพื่อไปทำอะไรอย่างนั้นงั้นเหรอ?”
ดูเหมือนอาจารย์ไม่คิดจะหาข้อผิดพลาดในสิ่งที่ฉันพูด แค่ต้องการยืนยันข้อเท็จจริงเพียงเท่านั้น
“เปล่าค่ะ ฉันแค่พูดคำตอบที่เป็นไปได้เท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำตอบ อาจารย์คาราสุมะก็หัวเราะ ‘หึ’ ออกมา
“ฉันไม่ได้เกลียดความคิดของเธอหรอกนะ นักบวชคนอื่นๆ ห้ามเล่าเรื่องนี้กับเธอ แต่ยังไงฉันก็จะเล่าให้เธอฟังอยู่ดี… ดูเหมือนว่าโคโอริ จิคาเงะจะไปก่อความวุ่นวายเข้าซะแล้ว”
“ก่อความวุ่นวาย…?”
“ระหว่างที่อยู่ที่บ้านเกิด ได้ใช้พลังผู้กล้าทำร้ายชาวบ้าน และพยายามฆ่าโนกิ วาคาบะที่เข้ามาหยุดไว้”
เลือดขึ้นหน้าทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ ฉันเข้าคว้าคอของอาจารย์คาราสุมะด้วยสัญชาตญาณ
“ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! เพราะแบบนี้หนูถึงไม่เห็นด้วยที่จะส่งท่านโคโอริกลับบ้าน!”
ทันใดนั้นอาจารย์คาราสุมะจับแขนของฉัน ล๊อคข้อมือและกดฉันเข้ากับกำแพง ในท่านี้ทำให้ฉันขยับไม่ได้
“อึก…”
อาจารย์คาราสุมะเคยฝึกป้องกันตัวงั้นเหรอ ท่าแบบนี้มาจากศิลปะการต่อสู้ชัดๆ
“ ‘ว่าแล้ว’ ที่ว่าหมายความว่ายังไง?”
ถึงจะกดฉันไว้อยู่แต่น้ำเสียงของอาจารย์ก็ยังเหมือนเดิม ฉันตอบกลับด้วยความฉุนเฉียว
“… หนูรู้สถานการณ์ครอบครัวและสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบตัวท่านโคโอริมากกว่าอาจารย์หรือใครในไทชะ รู้ว่าพวกเด็กสาวที่อยู่บ้านเกิดของท่านโคโอริเรียนอยู่ปีไหน อยู่ที่ไหนในวันหยุดสุดสัปดาห์ ครอบครัวของพวกเธอประกอบอาชีพอะไร เงินเดือนเท่าไหร่ โรงพยาบาลที่ไป หรือแม้แต่โรคที่ป่วย”
“…ได้ยังไง?”
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาจารย์คาราสุมะดูตกใจถึงจะเพียงเล็กน้อย
“อาจารย์รู้ใช่ไหมคะ ว่าหนูได้ข้อมูลของท่านโคโอริจากคุณอูเอซาโตะ”
“ใช่ สิ่งที่มิโกะรู้ นักบวชก็รู้ด้วย แต่อูเอซาโตะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องเกี่ยวกับโคโอริที่ปราสาทมารุกาเมะ ไม่น่าที่จะรู้เรื่องไปถึงบ้านเกิดขนาดนั้น”
“หนู…” ฉันพูดด้วยความด้อยค่าของตัวเอง “เป็นลูกสาวของเจ้าอาวาส ถึงจะเป็นแค่ศาลเจ้าเล็กๆ ก็เถอะ ที่นั่นมีคนที่ยอมทำอะไรบางอย่างให้ถ้าหากหนูเอ่ยปากขอ”
“…”
“หนูยังคงติดต่อกับคนของศาลเจ้าที่สนิทด้วยก่อนที่จะมาเข้าไทชะ เขามักจะแวะเวียนไปที่บ้านเกิดของท่านโคโอริและถามชาวบ้านบริเวณนั้นเพื่อเก็บข้อมูล อีกทั้งฉันยังติดต่อกับเพื่อนสมัยประถมเพื่อถามเกี่ยวกับบ้านเกิดของท่านโคโอริเป็นครั้งคราว เพียงก้าวออกจากบ้านไม่ไกล ทุกอย่างที่พูดออกมานี่ก็สามารถทำได้ อีกอย่างในหมู่บ้านชนบทเล็กๆ อย่างที่หนูกับท่านโคโอริอยู่ เรื่องของชีวิตความเป็นอยู่ของคนอื่นเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนรู้กัน นั่นเป็นข้อมูลที่เราจะได้รับเมื่อสร้างความเชื่อใจให้กับใครสักคน”
“…นั่นไม่ใช่ข้อมูลที่ไทชะสามารถเก็บได้ เป็นความต่างระหว่างคนที่ลงไปหาข้อมูลเองกับคนที่ไม่ได้ทำอะไรเลย”
อาจารย์คาราสุมะพูดด้วยความฉุนเฉียวและปล่อยแขนฉัน ถึงจะโดนปล่อยความปวดก็ยังคงไม่หายไป
“บรรยากาศในหมู่บ้านตอนนี้มีเพียงการกล่าวโทษท่านโคโอริ ครอบครัวของเธอเองถูกชาวบ้านคนอื่นๆ เกลียดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนที่ท่านโคโอริถูกเลือกเป็นผู้กล้าคนพวกนั้นเลยเริ่มเชิดชูเธอ แต่ก็เพียงแค่เท่านั้น”
ท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าได้ตายไปแล้ว และสถานการณ์ตอนนี้มองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ความเสียหายได้เริ่มก่อตัวขึ้นที่ชิโกกุเองแล้ว
และคนบางคนในชิโกะกุได้เปลี่ยนเสียงของตัวเองหันไปโทษผู้กล้าแทน
หมู่บ้านของท่านโคโอริเองก็เช่นกัน พวกเขาเลิกเชิดชูผู้กล้าและเริ่มด่าท่อท่านโคโอริ เรียกเธอว่า ‘ไร้ประโยชน์’ และ ‘ไม่มีอะไรดีสักอย่าง’ ชาวบ้านหลายคนไม่พอใจที่ต้องปฏิบัติอย่างเคารพให้กับครอบครัวโคโอริที่ตัวเองเกลียด นั่นทำให้ความเกลียดชังของพวกเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ไม่ คำว่า [เกลียดชัง] ยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ครอบครัวโคโอริกลายเป็นแพะรับบาปของชาวบ้านไปโดยปริยาย
ในชุมชนปิด เมื่อที่ผู้คนต้องทนกับความเครียดมากๆ เจอกับ [เป้าหมาย] ที่จะโจมตี… การโจมตีนั้นจะเป็นอะไรที่ร้ายแรงและอุกอาจ พวกเขาจะสูญเสียจิตสำนึกกับสามัญสำนึกความเป็นมนุษย์ และฝังคมเขียวลงไปที่เป้าหมายราวกับสัตว์ร้าย ไม่สนว่ามุมมองของคนนอกจะคิดยังไง การดูถูกเหยียดหยามเป็นสิ่งที่ปกติสำหรับที่นี่ พวกเขาไม่รู้สึกผิดอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ
หมู่บ้านชนบทเล็กๆ เป็นตัวอย่างของชุมชนปิด
ชาวบ้านอยู่ภายใต้ความเครียดอย่างหนัก ถูกกดทับด้วยความโกรธเคืองกับสถานการณ์สงครามที่ไม่แน่ไม่นอน
และยังมีผู้กล้าจากครอบครัวโคโอริที่ถูกเกลียดชัง ผู้ที่ไม่สามารถปกป้องผู้คนในชิโกกุได้ตามหน้าที่ที่หมอบหมาย
น่าเศร้า ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน ที่ทุกปัจจัยได้ถูกเตรียมเอาไว้แล้ว
“คนของไทชะอย่างอาจารย์ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าคนที่นั่นทำอะไรกับครอบครัวของท่านโคโอริบ้าง ไม่รู้อะไรเลย! เพราะแบบนั้นหนูถึงไม่เห็นด้วยที่จะส่งเธอกลับบ้าน! มันจะไปดีขึ้นยังไงถ้ากลับไปที่ที่มีแต่คนทำร้ายท่านโคโอริน่ะคะ!!”
“…มันก็จริงที่พวกเราความเข้าใจในสถานการณ์ครอบครัวของโคโอรินั้นน้อยมาก”
“หนูได้บอกเล่าสถานการณ์ครอบครัวของท่านโคโอริให้กับนักบวชแล้วค่ะ แต่พวกเขาไม่เชื่อ ทุกคนคิดว่าการดูถูกเหยียดหยามโดยคนทั้งหมู่บ้านมันเป็นไปไม่ได้ในสังคมสมัยใหม่ นั่นเป็นเพียงเรื่องในอดีตเท่านั้น…!”
คนที่ไม่เคยใช้ชีวิตที่ถูกกลั่นแกล้งและโดนคนรอบข้างทอดทิ้งไม่มีวันเข้าใจว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และไม่แม้แต่ที่จะสนใจ
แต่เมื่อใดที่เกิดแนวทางที่ผิดในชุมชนและสภาพสังคม เรื่องแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
“หนูอยากไปที่หมู่บ้านของท่านโคโอริและทำให้สถานการณ์ของที่นั่นดีขึ้นก่อนที่เธอจะถูกส่งกลับบ้าน…”
ฉันคิดจะไปที่หมู่บ้านและพยายามปัดเป่าความอาฆาตของคนที่นั่นที่มีต่อครอบครัวโคโอริแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ถ้าหากจวนตัวขึ้นมา ฉันพร้อมที่จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการกำจัดคนที่ให้ร้ายท่านโคโอริ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ฉันหนีออกจากไทชะ
“…ทุกอย่างที่เกี่ยวกับโคโอริคือความผิดพลาดในแนวทางของไทชะ”
ฉันจ้องเขม็งไปที่อาจารย์คาราสุมะ แต่มันไม่ใช่ความผิดของอาจารย์เลย ฉันไม่ได้บอกนักบวชทุกคนเรื่องสถานการณ์ครอบครัวของท่านโคโอริ อาจารย์คาราสุมะเองก็ดูเป็นคนเลื่อนลอยเลยไม่ได้บอกไป
ฉัน… ควรที่จะบอกเล่าเรื่องสถานการณ์ครอบครัวของท่านโคโอริให้คนได้รู้มากกว่านี้
แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ส่วนตัวเกินไปจนฉันลังเลที่จะเปิดเผยให้ใครได้รู้
ยิ่งกว่านั้น วิธีการหาข้อมูลของฉันไม่ใช่เรื่องที่น่าชื่นชมอะไรเลย ถ้าเกิดบอกคนอื่นไป พวกคนที่หาข้อมูลให้ฉันจะโดนมองว่าเป็นคนไม่ดีเอาได้
ถึงอย่างนั้น… หากฉันได้บอกเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่านะ?
“ขอร้องเถอะค่ะ อย่ากดดันท่านโคโอริไปมากกว่านี้เลย… แยกเธอให้ห่างจากครอบครัว ไม่ต้องให้ออกไปสู้อยู่แนวหน้า… ได้โปรด ช่วยหน่อยเถอะค่ะ…”
ฉันดึงชายเสื้อคลุมของอาจารย์คาราสุมะแล้วขอร้อง
ท่านโคโอริทำอะไรผิด
ทำไมถึงเป็นเพียงคนเดียวที่เจ็บปวดอยู่ตลอด
ต้องเจ็บปวดและถูกกดดันจนจนตรอกมาตั้งแต่เกิด…
“โคโอริถูกยึดพลังผู้กล้าเพราะเรื่องที่ไปก่อความวุ่นวาย ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถออกไปสู้ได้อีกแล้ว”
“งั้นเหรอคะ… ดีจริงๆ…”
คำพูดของอาจารย์คาราสุมะทำให้ฉันรู้สึกโล่งอก ท่านโคโอริจะไม่ต้องสู้อีกแล้ว
“ส่วนเรื่องที่พักอาศัยตอนนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของไทชะ ขืนอยู่ที่หมู่บ้านนั้นต่อไปคงไม่ใช่เรื่องดีแน่”
อาจารย์คาราสุมะมองออกไปนอกหน้าต่างขณะพูด ท้องฟ้ากำลังมืดครึ้มเหมือนฝนกำลังจะตกลงมา
“ฮานะโมโตะ มีอีกเรื่องที่อยากจะถาม”
“อะไรเหรอคะ?”
“การตายของโดอิกับอิโยจิม่าถูกปิดไว้ไม่ให้คนทั่วไปได้รู้ แต่กลับถูกเผยแพร่ลงในอินเตอร์เน็ต เธอเป็นคนปล่อยเรื่องนี้รั่วไหลออกไปหรือเปล่า?”
ฉันส่ายหน้า ไม่มีทางที่ฉันจะทำแบบนั้น แต่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
“คนที่ปล่อยเรื่องนี้ออกไปคงเป็นมิโกะค่ะ เพื่อใช้ในการต่อต้านไทชะ และไม่มีวันที่จะเป็นฝีมือของรุ่นพี่อากิ รุ่นพี่ไม่ใช่คนที่จะใช้ความตายของท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าเป็นเครืองมือในการประท้วงแน่นอนค่ะ”
“…น่าตกใจนะเนี่ยที่เธอเชื่อมั่นในตัวอากิด้วย”
“ถึงคนคนนั้นจะชอบทำตัวเซ่อซ่าไม่เอาไหนแต่รุ่นพี่เป็นคนที่เปราะบางมากๆ คนนึงเลยค่ะ… ถึงอย่างนั้นการที่มิโกะปล่อยข้อมูลลับของไทชะเพื่อประท้วงเป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย แต่แรกการปิดบังการตายของท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีอยู่แล้วค่ะ เลยไม่แปลกที่พวกมิโกะจะรู้สึกว่าพวกเขาถูกหยามและต้องการที่จะลุกขึ้นมาต่อต้าน หากเป็นอย่างนี้ต่อไปไทชะก็จะไม่สามารถควบคุมมิโกะได้อีกแล้วค่ะ”
“นั่นก็ถูกของเธอ”
อาจารย์คาราสุมะยอมรับโดยไม่โต้ตอบอะไร
ไม่นานหลังจากนั้นฉันก็ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่หอเดิม
“อ้า ฮานะโมโตะจังกลับมาแล้วเหรอ ตอนนี้ฉันกำลังสนุกกับการใช้ห้องส่วนตัวอยู่เลย สงสัยมันจะกลับมาแคบลงเหมือนเดิมซะแล้วสิ แต่ว่า ดีใจที่เธอกลับมานะ”
“รุ่นอากิ ไอ้ท่าทางซึนเดเระแบบนั้นน่ะ… ไม่เหมาะกับรุ่นพี่เลยนะคะ”
“กลับมาถึงก็พูดกันแบบนี้เลยเหรอยัยรุ่นน้อง! ฮึย ฮานะโมโตะจัง ฉันเป็นห่วงเธอจริงๆ นะเนี่ย!”
“ขนาดพูดตรงๆ ยังดูน่ารำคาญเลยค่ะ…”
“แล้วจะให้ทำยังไงเล่า!?”
ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันกับรุ่นพี่อากิแยกจากกันไม่ได้ทำให้อะไรระหว่างเราเปลี่ยนไปเลย
ท่านโคโอริถูกตัดออกจากการต่อสู้แล้ว
ตอนนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำร้ายคนอื่น
ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปหาท่านโคโอริให้ได้สักครั้งหนึ่งเมื่อไทชะพิจารณาเรื่องที่พักอาศัยให้เธอได้แล้ว
แม้จะไม่มีคุณสมบัติของผู้กล้าอีกต่อไปแล้ว แต่ความนับถือของฉันที่มีต่อท่านโคโอริยังคงเหมือนเดิม ฉันจะอยู่เคียงข้างในฐานะมิโกะของท่านโคโอริต่อไป นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน
ไม่นานฉันก็ได้ข่าวการตายในหน้าที่ของท่านโคโอริ
ในวันนั้นฝนตกแรงตั้งแต่เช้าตรู่ คุณอูเอซาโตะเดินทางจากปราสาทมารุกาเมะมาที่ไทชะ ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่ในห้องของเธอ
“พักนี้มีภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยที่ชิโกกุ…” คุณอูเอซาโตะพูดระหว่างที่มองออกไปนอกหน้าต่าง “นี่อาจเป็นผลมาจากการโจมตีของเวอร์เท็กซ์ เวอร์เท็กซ์บางตัวมีพลังที่สามารถกัดกร่อนจูไคได้ และนั่นส่งผลกระทบในรูปแบบของอุบัติเหตุกับภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับชิโกกุ”
อย่างที่เธอพูด พักนี้ที่ชิโกกุเกิดแผ่นดินไหวกับพายุบ่อยขึ้น ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นเพราะเวอร์เท็กซ์สินะ
“…ฝนห่าใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็มาจากเหตุเดียวกันสินะ?”
“ก็อาจจะใช่ค่ะ…”
บทสนทนาจบลงอย่างรวดเร็ว ทั้งห้องตกลงสู่ความเงียบงัน
เหมือนคุณอูเอซาโตะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ฉันเลยทำลายบรรยากาศเงียบงันนี้
“ทำไม… ท่านโคโอริถึงตายในหน้าที่ล่ะ? เธอเสียคุณสมบัติผู้กล้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่ควรจะออกไปสู้แบบนั้นนี่นา…”
“…คุณจิคาเงะเป็นคนขอกลับไปต่อสู้ด้วยตัวเองค่ะ… พลังของวาคาบะจังเพียงคนเดียวไม่พอที่จะต่อสู้กับพวกเวอร์เท็กซ์ได้ ไทชะเลยมองว่าเป็นการดีหากมีใครสักคนเข้ามาช่วย… จึงตกลงที่จะคืนพลังผู้กล้าให้กับเธอ”
“…อึกอ้าาาาาาาาาา!”
ฉันคำรามออกมาและทุบกำปั้นลงกับพื้น ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก
“ทำไม!? ทำไมไทชะถึงให้ท่านโคโอริสู้ด้วย!? มีสมองคิดหรือเปล่า! อ้าาาาาาาก! ใครมันเป็นคนอนุญาตให้เธอออกไปสู้!? ฉันจะฆ่ามัน! ขอสาบานว่าจะต้องฆ่ามันให้ได้! ฮืออออออ!”
น้ำตาพลั่งพลูออกมาท่วมใบหน้า ไหลหยดลงสู่พื้น
แต่จะความโศกเศร้าหรือโกรธเกรี้ยวของฉันก็ไม่สามารถพาท่านโคโอริกลับมาได้ ฉันไม่รู้ว่าจะเอาความโกรธนี้ไปลงที่อะไร
คุณอูเอซาโตะเข้ากอดฉันที่กำลังสั่นเครือ
“คุณอูเอซาโตะ…”
เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมา คุณอูเอซาโตะเองก็ร้องไห้เช่นกัน
“ขอโทษนะคะ… ทั้งที่ฉันเป็นผู้ดูแลผู้กล้า แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย…”
“นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณอูเอซาโตะหรอก… ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษที่ตวาดออกมา…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ร้องออกมาเถอะ ก็คุณฮานะโมโตะเป็นมิโกะของคุณจิคาเงะนี่คะ”
“ฮึก… ฮืออออ…”
ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา โดยมีคุณอูเอซาโตะค่อยลูบศีรษะให้อย่างอ่อนโยน
ฝ่ามือที่อบอุ่นของเธอเป็นเพียงสิ่งเดียวในตอนนี้ที่ช่วยเหลือฉันได้
ฉันร้องไห้นานแค่ไหนกันนะ
หลังจากใช้เวลาร้องไห้พักหนึ่งก็ใจเย็นลงได้
ฉันเช็ดน้ำตาแล้วมองหน้าคุณอูเอซาโตะ
สิ่งที่ฉันจะพูดหลังจากนี้คือคำสาปแช่งและความแค้นที่มีต่อไทชะ ฉันจะเพาะเมล็ดที่จะบ่อนทำลายไทชะไปจนถึงรากเหง้า ไม่สนว่ามันจะมีโอกาสได้งอกเงยออกมาหรือไม่
“คุณอูเอซาโตะ… ฉันมองว่าไทชะเป็นแค่องค์กรที่ผิดเพี้ยน เหตุผลเพราะพวกคนที่อยู่ระดับสูง พวกคนที่คอยบงการเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย”
“คนธรรมดา… เหรอคะ”
“ใช่ พวกนักบวชของไทชะไม่ใช่คนที่รับคำพยากรณ์จากชินจู ไม่ใช่คนที่ต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ มิโกะกับผู้กล้าต่างหากที่เป็นคนทำ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นแค่นักบวช… คนธรรมดาที่รู้เรื่องของเทพเจ้าก็แค่นั้น ไม่ได้มีพลังพิเศษ ไม่มีประสบการณ์ในสนามรบ และส่วนใหญ่ไม่มีคุณสมบัติผู้นำเสียด้วยซ้ำ เชื่อว่าพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ชอบงานนี้เช่นกัน”
‘ทำไมคนธรรมดาสามัญอย่างเราถึงต้องมาสั่งการในสงครามแบบนี้ด้วยนะ…?’
ส่วนใหญ่ของนักบวชธรรมดาที่เข้าร่วมกับไทชะมักจะคิดอย่างนั้น เหมือนกับพ่อของฉัน
“นั่นน่ะ…”
คุณอูอาซาโตะดูหนักใจและไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
“และคนธรรมดาเหล่านั้น พวกคนนอกนั่นเป็นคนที่กุมชีวิตของผู้กล้าเอาไว้ในมือ มันไม่ถูกต้อง คนที่อยู่จุดสูงสุดของไทชะควรจะเป็น… ผู้นำของผู้กล้า คนที่ต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ด้วยตัวเองอย่างท่านโนกิ หรือ…คนที่ได้รับความรักจากชินจูมากที่สุดอย่างคุณอูเอซาโตะ ฉันคิดว่าท่านโนกิคงไม่เหมาะกับหน้าที่นี่ ดังนั้นถ้าเป็นคุณอูเอซาโตะจะเหมาะกว่าค่ะ”
คุณอูเอซาโตะมีสีหน้าตกใจ
“ฉันเหรอคะ…?”
“ในความเป็นจริง…” ฉันจ้องตรงไปที่นัยน์ตาของเธออย่างจริงจัง “นี่คือสิ่งที่ควรจะเป็นตั้งแต่แรกอยู่แล้วค่ะ เทพเจ้ากลับมา ส่งผู้ส่งสารจากสวรรค์ลงมาเพื่อทำลายมนุษยชาติ… ราวกับโลกถูกย้อนกลับไปยุคตำนานเทพ และในโบราณกาล เหล่าผู้ที่นำผู้คนจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับความรักโดยเทพเจ้าหรือคนที่สามารถติดต่อกับพวกเขาได้ คุณอเอซาโตะคือคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นมากที่สุดในชิโกกุตอนนี้ค่ะ”
“แต่ตัวฉันไม่สามารถเป็นผู้นำองค์กรได้หรอกค่ะ…”
“ก็อาจจะจริงค่ะ คงเป็นเรื่องยากที่จะให้เด็กอย่างพวกเรายืนอยู่จุดสูงสุดขององค์กร แต่ว่า… ในฐานะมิโกะและคนที่คอยเดินเคียงข้างผู้กล้า คุณอูเอซาโตะมีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจโดยคำนึงถึงผู้กล้ามากกว่าคนนอกอย่างไทชะ ตอนนี้จะคนของไทชะหรือเด็กอย่างเราก็ไม่มีใครเหมาะที่จะเป็นผู้บริหารองค์กรค่ะ ดังนั้นคนแบบคุณอูเอซาโตะที่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะปกป้องผู้กล้า คือทางเลือกที่ดีที่สุด”
คุณอูเอซาโตะเงียบไป สายตาลดต่ำลง
“…ไม่ว่ายังไง คุณอูเอซาโตะจะต้องเป็นคนทำมันค่ะ”
“เอ๋…”
“ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถปกป้องท่านโนกิได้ สุดท้ายเธอจะกลายเป็นเหยื่อของคำสั่งที่ผิดพลาดของไทชะ เหมือนอย่างท่านโคโอริ ตอนนี้ท่านโคโอริไม่อยู่แล้ว ฉันไม่สนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้กล้า ไทชะ หรือแม้แต่โลกใบนี้ แต่ไม่เหมือนกับคุณอูอซาโตะที่คนสำคัญยังมีชีวิตอยู่”
“………..”
คุณอูอซาโตะให้ความสำคัญกับคนรอบข้างมากกว่าตัวเองมาโดยตลอด คนแบบนี้จะไม่เคยคิดเรื่องการเป็นผู้นำองค์กร ไม่เคยแม้แต่นึกฝันที่จะเป็น
แต่… ตอนนี้เธอได้รับตัวทางเลือกใหม่ ทางเลือกที่ไม่เคยมีมาก่อน
จะเลือกหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวคุณอูเอซาโตะเอง จากลักษณะนิสัย โอกาสที่เธอจะเลือกทางนี้มีน้อยมาก แต่ไม่ได้เป็นศูนย์
ฉันเพียงแค่เปลี่ยนความเป็นไปจากศูนย์ให้กลายเป็นหนึ่ง
คุณอูเอซาโตะเดินทางกลับปราสาทมารุกาเมะหลังจากนั้น ส่วนฉันถูกอาจารย์คาราสุมะเรียกไปที่ห้องของเธอ
“ไทชะจะไม่จัดงานศพให้กับโคโอริ จิคาเงะและจะไม่ถูกจดจำในฐานะผู้กล้า… นั่นคือสิ่งที่ไทชะลงมติเอาไว้ ส่วนสาเหตุก็มาจากที่เธอทำร้ายโนกิกับประชาชน”
“งั้นเหรอคะ”
ฉันตอบไปอย่างไม่ใส่ใจ ฉันไม่สนการตัดสินใจของไทชะอีกแล้ว ต่อให้มีฉันเพียงคนเดียวที่จดจำท่านโคโอริในฐานะผู้กล้า นั่นก็เพียงพอแล้ว
อาจารย์คาราสุมะส่งที่อยู่ที่หนึ่งในเมืองมารุกาเมะให้กับฉัน
“นั่นคือที่ที่โคโอริอาศัยอยู่ก่อนตาย หลังจากไม่สามารถอยู่ที่เมืองเกิดได้จึงถูกย้ายมาที่มารุกาเมะพร้อมกับครอบครัว”
สุดท้ายพวกเขาก็บังคับให้ท่านโคโอริต้องอยู่กับครอบครัวสินะ คงมีไอ้บ้าที่อยู่ระดับสูงของไทชะยึดติดกับความคิดที่ว่า [เด็กจะมีความสุขถ้าได้อยู่กับพ่อแม่] กับ [ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนทำร้ายลูกหรอก] พวกเขาไม่สนความรู้สึกของท่านโคโอริ เอาแต่จะสนับสนุนสามัญสำนึกของตัวเองก็แค่นั้น
“แล้วศพของท่านโคโอริล่ะคะ?”
“เพราะไทชะจะไม่จัดงานศพให้กับโคโอริ พวกเขาเลยส่งร่างให้กับผู้ปกครองของเธอ ตระกูลโคโอริจะเป็นผู้จัดงานศพด้วยตัวเอง”
“…เข้าใจแล้วค่ะ”
ฉันตอบโดยไร้ซึ่งความรู้สึกบนใบหน้า
ฉันกลับมาที่ห้องแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อที่สามารถขยับตัวได้ง่ายและใส่โทรศัพท์มือถือกับกระเป๋าสตางค์ลงในกระเป๋ากางเกง
รุ่นพี่อากิมองมาที่ฉันด้วยความสงสัย
“หืม? จะออกไปข้างนอกเหรอ?”
“ค่ะ”
“ตอนฝนตกแบบนี้เนี่ยนะ? รู้ใช่ไหมว่ามันอันตราย”
“มีที่ที่ฉันจะต้องไปให้ได้ตอนนี้ค่ะ”
เวลานี้รถขนส่งสาธารณะยังทำงานอยู่ ถ้าต้องมาหยุดรอฝนจนเขาเลิกทำการ ฉันคงสูญเสียเหตุผลที่มาอยู่ที่นี่
“…งั้นเหรอ”
รุ่นพี่อากิไม่มีทีท่าว่าจะห้าม ไม่ถามเสียด้วยซ้ำว่าจะไปที่ไหน คงเดาออกจากน้ำเสียงและท่าทางของฉัน
เมื่อจะเดินไปหยิบร่มที่อยู่ในห้อง รุ่นพี่อากิก็ทักขึ้นมา
“ช้าก่อน ฝนตกหนักแบบนี้ร่มเอาไม่อยู่หรอก ใช่นี่สิ”
รุ่นพี่ส่งเสื้อกันฝนกับรองเท้าบูทให้
“ทำไมรุ่นพี่อากิถึงมีของพวกนี้ล่ะคะ?”
“เพื่อนคนนึงให้มาเป็นของฝากน่ะ” เธอพูดโดยมีสีหน้าเศร้าเล็กน้อย “ยัยนั่นเป็นพวกชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เพราะงั้นเจ้านี่คุณภาพดีแน่นอน”
ฉันโค้งให้ เดาออกทันทีว่ารุ่นพี่พูดถึงใคร
“ขอบคุณค่ะ”
“จะกลับมาก่อนมื้อเย็นหรือเปล่า?”
“คงจะไม่ค่ะ”
“…เหรอ งั้นเดี๋ยวจะดึงความสนใจให้ แล้วใช้โอกาสนั้นปลีกตัวออกไปนะ แต่อย่าฝืนตัวเองล่ะ เข้าใจไหม?”
“…ค่ะ”
“งั้นก็แจ๋ว”
เมื่อพูดเสร็จ ฉันก็ถูกรุ่นพี่ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดสี่ปีตีเข้าที่ไหล่
“รุ่นพี่อากิคะ ถึงจะไม่อยากพูดเพราะมันน่ารำคาญถ้ารุ่นพี่ได้ฟังก็เถอะ… แต่ยังไงคงต้องพูดอยู่ดี ฉันดีใจนะคะที่ได้นอนห้องเดียวกับรุ่นพี่ที่ดีอย่างรุ่นพี่อากิ ด้วยบุคลิกของฉัน ฉันคงจะถูกมิโกะคนอื่นๆ ทอดทิ้งไปแล้วหากไม่ได้อยู่กับรุ่นพี่”
“ไม่จริงหรอก ฮานะโมโตะน่ะเป็นเด็กดีนะ” รุ่นพี่อากิตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ดีใจนะที่ได้ยินอย่างนั้น เอาล่ะ ฉันจะเรียกรวมตัวมิโกะกับนักบวชทุกคนในหอไปที่โรงอาหารนะ เพราะงั้นอย่าผ่านไปแถวนั้นล่ะ”
เมื่อพูดจบ รุ่นพี่ก็เริ่มส่งข้อความผ่านมือถือของเธอ
รุ่นพี่เรียกมิโกะทุกคนไปที่โรงอาหารและประกาศอย่างที่คนอื่นๆ ไม่ทันตั้งตัวว่าให้ทิ้งทุกงานทุกกิจกรรมในวันนี้ทิ้งไปให้หมดแล้วจัดแข่งขันไพ่นกกระจอกขึ้น มีมิโกะบางคนที่งุนงง บางคนก็ตามน้ำไปด้วย และมีบางส่วนที่ไม่พอใจ – ตอนนี้ที่โรงอาหารกำลังสับสนอลหม่าน พวกนักบวชที่ได้ยินเสียงก็เข้าไปรวมตัวกันที่โรงอาหารเช่นกัน รุ่นพี่อากิบอกเล่าความดีงามของไพ่นกกระจอก อธิบายกฏวิธีการเล่น และอะไรหลายๆอย่างให้กับทุกคนที่มารวมตัวกันที่โรงอาหาร
ฉันใช้โอกาสนี้ปลีกตัวออกจากหอพักโดยใช้เส้นทางที่อยู่ห่างจากโรงอาหาร
เม็ดฝนห่าใหญ่เข้ากระแทกร่างกาย อย่างที่รุ่นพี่ว่า ร่มคันเดียวมันไม่พอสำหรับสภาพอากาศแบบนี้ ขอบคุณรุ่นพี่อากิกับเพื่อนของเธอที่ให้ยืมเสื้อกันฝนกับรองเท้าบูท
ระยะห่างระหว่างหอพักของไทชะกับป้ายรถบัสที่ใกล้ที่สุดค่อนข้างไกล
“แฮก…. แฮก….”
การเดินท่ามกลางฝนแบบนี้ดูดซับพลังงานของฉันอย่างมาก เดิมทีฉันก็ไม่ได้มีร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้วด้วย
แต่ฉันต้องไป
ต้องไปเจอเธอให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะไม่ได้เจอกับท่านโคโอริอีกต่อไป
“อึกกกกก…..”
น้ำตาไหลพลากออกมาขณะเดินฝ่าฝน
ต่อให้… ต่อให้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของท่านโคโอริ ฉันก็อยากจะเจอกับเธอ
ท้องฟ้าย่ามกลางวันมืดสลัวเพราะสภาพอากาศ แต่เวลาที่ฉันมาถึงป้ายรถบัสก็มืดเหมือนกลางคืนแล้ว
“แฮก…. แฮก…”
สิ่งที่กำลังช่วยฉันอยู่ตอนนี้คือความอบอุ่นในเดือนมิถุนายน ถ้าเป็นฤดูหนาวล่ะก็ ฉันคงสลบเพราะความหนาวก่อนจะมาถึงป้ายรถบัสแล้ว
ฉันมองไปที่ตารางเวลา
แถวนี้รถบัสไม่ค่อยผ่านมาอยู่แล้ว ดังนั้นรถบัสเที่ยวสุดท้ายจึงออกไปก่อนที่ฉันจะมาถึง
“เดินจากที่นี่ไปสถานีรถไฟ… ทำได้ที่ไหนกันล่ะ…”
สถานีรถอยู่ไกลมากจากตรงนี้ คงต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะเดินไปถึง ต่อให้สมมติว่าฉันมีแรงพอที่จะเดินไปถึงสถานนี แล้วไปเมืองมารุกาเมะต่อในวันแบบนี้คงเป็นเรื่องยากหากมาลองพิจารณาจากเวลาที่ใช้และอาจจะไม่ทันรถไฟขบวนสุดท้าย
ฉันอยากจะไปให้เร็วที่สุดที่เป็นไปได้ เพราะไม่รู้ว่าไทชะจะถูกดึงความสนใจได้นานเท่าไหร่ หวังว่าคงไม่ต้องถึงขั้นหาที่หลับนอนข้างนอกนี่ การนอนข้างนอกในสภาพอากาศแบบนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ฉันหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาดู มิโกะใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่หอพักจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้เงิน แม้แต่เงินปีใหม่ก็ยังอยู่ในกระเป๋านี้เลย
เมื่อลองเช็คราคาแท็กซี่ที่ใช้เดินทางจากที่นี่ไปมารุกาเมะจากมือถือดู ค่าใช้จ่ายนั้นสูงมากเกินกว่าเงินที่มีอยู่จะจ่ายไหว
แต่เมื่อใส่กระเป๋าสตางค์ลงในกระเป๋ากางเกง… ฉันรู้สึกเหมือนมีแผ่นกระดาษบางอย่างอยู่ในกระเป๋าข้างในเสื้อกันฝน สิ่งที่เจอคือกระดาษโน้ตกับเงินจำนานหนึ่ง ในโน้ตเขียนว่า ‘เบี้ยเลี้ยงจากรุ่นพี่ เอาไปใช้ซะนะ มาสุซุ’
ต้องให้คนคนนั้นค่อยดูแลอยู่เรื่อยเลยนะตัวฉัน…
ฉันโทรเรียกให้แท็กซี่มารับ คนขับดูสงสัยที่มีเด็กคนหนึ่งเรียกใช้แท็กซี่เดินทางระยะไกลในตอนกลางคืนแบบนี้ เขาถามว่าฉันไปทำอะไรในเวลาแบบนี้
ฉันชูปึกธนบัตรให้เขาดูเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีเงินจ่าย และตอบคำถามด้วยคำตอบที่ค่อนข้างเสี่ยง
“หนูเป็นมิโกะของไทชะค่ะ ตอนนี้มีเรื่องเร่งด่วนจึงต้องเดินทางไปเมืองมารุกาเมะที่มีผู้กล้าที่เคารพอยู่ ถ้าหากมีข้อสงสัยใดๆ เชิญติดต่อสอบถามกับทางไทชะได้เลยนะคะ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาแล้วค่ะ หนูต้องไปมารุกาเมะเดี๋ยวนี้เลย”
ผู้กล้าอยู่ที่เมืองมารุกาเมะกับมิโกะเป็นเด็กสาว – เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องรู้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ดีในการเดินทางไปมารุกาเมะ
ถ้าเขาติดต่อกับทางไทชะจริงๆ มันคงจบลงที่ตรงนี้ แต่โชคดีที่คนขับไม่ถามอะไรมากกว่านี้และยอมให้ฉันขึ้นรถ บางทีเขาคงเลือกที่จะไม่ยุ่งกับไทชะเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเจอกับปัญหาที่อาจจะตามมาในภายหลัง
ฉันขึ้นไปนั่งที่เบาะหลังของรถแท็กซี่และเดินทางไปที่มารุกาเมะ
เพราะความเหนื่อยจากการเดินฝ่าฝนทำให้ฉันหลับบนรถไปทั้งอย่างนั้น…
ฉันตื่นขึ้นมาเมื่อแท็กซี่หยุดรถ นาฬิกาบอกว่าตอนนี้ดึกมากแล้ว ฝนก็หยุดแล้วเช่นกัน
“หยุดรถทำไมเหรอคะ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?”
คนขับแสดงสีหน้าหนักใจกับคำถามของฉันและเริ่มอธิบาย
เขาบอกว่าเราใกล้ถึงมารุกาเมะแล้ว แต่เส้นทางเข้าเมืองมีน้ำท่วมจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะขับรถเข้าไป
เมื่อถามเรื่องที่อยู่ของท่านโคโอริที่ฉันได้มา เขาบอกว่ารอบบริเวณนั้นมีน้ำท่วมจึงไม่สามารถเข้าไปได้ อีกทั้งเส้นทางข้ามแม่น้ำไปมารุกาเมะถูกน้ำท่วมค่อนข้างหนัก
มองไปที่มิเตอร์ทำให้รู้ตัวว่าค่ารถนั้นสูงจนต้องเอาเงินของตัวเองมาทบกับที่รุ่นพี่อากิให้มาถึงจะพอจ่าย ฉันไม่สามารถขอให้เขาขับต่อเพื่อหาเส้นทางที่ดีกว่านี้ได้แล้ว
“งั้นขอหนูลงตรงนี้ค่ะ”
ฉันลงมาจากแท็กซี่ มองไปทางที่อยู่ของท่านโคโอริที่แผนที่บนมือถือชี้ไปแล้วเริ่มเดิน
ไม่ทันไรก็ต้องหยุด
ถนนจมลงใต้น้ำไม่สามารถผ่านไปได้ นี่คงเป็นบริเวณน้ำท่วมที่คนขับแท็กซี่พูดถึง
“มีทางอื่นไหมนะ…?”
ฉันมองหาเส้นทางบนแผนที่
แต่ทว่า…
ไม่มีเลย
ฉันยืนมึนงงอยู่หน้าถนนที่น้ำท่วม
เดินวนไปวนมาหลายเส้นทาง ดูแผนที่แล้วพยายามหาทางไปที่บ้านของท่านโคโอริ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ถูกน้ำท่วมหมด บ้านของเธออยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ ดังนั้นทุกเส้นทางที่ไปจึงกลายเป็นเขตน้ำท่วม
ฉันเดินจนเหนื่อย ลมหายใจเริ่มแรงขึ้น
“ทำยังไงดี…”
ฉันตกลงสู่ความสิ้นหวัง
ควรรอจนกว่าน้ำจะหายไปดีไหม? ฝนหยุดตกแล้ว เดี๋ยวระดับน้ำก็จะลดลง แต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่และเป็นไปได้ที่จะมีฝนตกลงมาอีกเหมือนกัน
หรือควรจะอ้อมไปหาทางอื่นดี ไม่ ไม่ว่าถนนเส้นไหนในเขตน้ำท่วมนี้ก็ไปไม่ได้ทั้งนั้น และจะหาดินมากลบทำเป็นเส้นทางก็ไม่ได้เช่นกัน
ทั้งที่ท่านโคโอริอยู่ใกล้ขนาดนี้แท้ๆ แต่ฉันกลับหาทางไปไม่ได้
หาทางไปไม่ได้
“อึก…ฮึก!”
….มีอยู่ทางเดียว… ทางเดียวที่ฉันหลีกเลี่ยงมันมาโดยตลอด เป็นทางง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถผ่านไปได้ แต่ไม่ใช่กับฉัน
นั่นคือ… เดินลุยน้ำไป
ทุกครั้งที่รายการ TV ฉายข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วม มักจะเห็นคนเดินในน้ำโดยไม่ใช้ยานพาหนะ ต่อให้น้ำท่วมถึงเอวก็ยังมีคนเดินได้
“แฮก… แฮก…”
ฝนหยุดตกแล้ว น้ำไม่สูงกว่านี้แล้ว มันก็เหมือนกับเดินในสระน้ำ เพียงแค่เดินอย่างระวัง คนอย่างฉันก็สามารถผ่านไปได้
แต่… ฉันไม่เคยแม้แต่ลงไปในสระน้ำเลยสักครั้ง เพราะโรคกลัวน้ำ ฉันไม่สามารถเดินในน้ำที่สูงเหนือเข่าได้
“อืออออออ!”
ฉันพยายามหย่อนเท้าลงน้ำ ช้าๆ แต่ราวกับกำลังหย่อนเท้าลงกระทะทองแดงในนรก
น้ำสูงถึงข้อเท้า ความลึกนี้ฉันยังพอทนได้อยู่
“แฮก แฮก…”
ช้าๆ ไปข้างหน้าทีละก้าว ขณะเดินอยู่นั้นระดับน้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆ พื้นที่ตรงนี้คงเป็นแบบเอียงลงไม่ใช่พื่นราบ
“แฮก แฮก…”
ไม่ทันไรน้ำก็ขึ้นมาถึงแข้ง ค่อยๆ ลึกขึ้น
และในที่สุดก็ขึ้นมาถึงเข่า คงเป็นระดับน้ำที่ลึกที่สุดแล้วจากตรงนี้ไป
“แฮก แฮก ฮึก แฮก”
ขาฉันสั่น
ไม่นะ ไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“อือออออออ…!”
ไม่มีทางอื่นแล้ว เดินลุยน้ำเป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้ฉันได้เจอกับท่านโคโอริ
“อือออออออออออ….!”
ไม่เป็นไร มาได้ไกลถึงขนาดนี้แล้ว ทางข้างหน้าคงไม่มีอะไรมากกว่านี้แล้ว ไม่เหมือนกับทะเลที่ฉันเคยเกือบจมน้ำ ที่นี่ไม่มีคลื่นอีกทั้งน้ำสูงเพียงแค่หัวเข่า ตื้นกว่าในทะเลตั้งเยอะ แค่ขยับขาไปข้างหน้าก็ผ่านมันไปได้แล้ว
“อือออออออออออออออ……..!”
แค่เดินต่อไปข้างหน้า
เดินต่อไปข้างหน้า!
เดินต่อไปข้างหน้า….!
“อือออ ฮึก อึก ฮืออออ….”
น้ำตาหลั่งไหลออกมาท่วมใบหน้า ฉันยืนร้องไห้อยู่คนเดียวกลางน้ำ
ไม่เอาแล้ว ฉันกลัว มันน่ากลัวเกินไปแล้ว ก้าวต่อไปมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ฉันรู้ว่าเดินต่อไปได้ถ้าคิดแค่เรื่องก้าวขาไปข้างหน้า ฉันเข้าใจตัวฉันดี แต่ร่างกายมันสั่นจนขยับไม่ได้
“ขอโทษค่ะ ท่านโคโอริ… ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ ฉันขอโทษ… ฮือออ ฉัน… ฉันเดินไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว… ฮึก ขอโทษ ฉันขอโทษ…”
มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ฉันเดินไปต่อไม่ได้แล้ว ต้องกลับแล้ว
ฉันหันหลังเพื่อกลับไปที่ที่ฉันมา หันหลังให้กับท่านโคโอริ
“…..อ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”
ทำแบบนั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเพราะอะไรก็ตาม
ถ้าฉันหันหลังให้กับท่านโคโอริ ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับไทชะ ไม่ต่างอะไรกับคนที่เอาแต่กล่าวโทษเธอทั้งที่ไม่รู้อะไรเลย ฉัน… ฉันจะไม่หันหลังให้กับท่านโคโอริ!
“ฉันคือมิโกะของท่านโคโอริ…! ฉันคือคนที่จะช่วยท่านโคโอริ…!”
ท่านโคโอริถูกลบออกจากการเป็นผู้กล้า ตัวตนของเธอถูกปฏิเสธ ถูกโยนทิ้งทันทีที่ตายและกลายเป็นคนที่ไม่จำเป็น
จะไทชะ จะพ่อแม่ของท่านโคโอริ จะประชาชนที่ท่านโคโอริปกป้อง… จะมีสักกี่คนที่แสดงความเสียใจกับเธอ? จะมีสักกี่คนที่จดจำท่านโคโอริที่เสี่ยงตายไปสู้ในสนามรบและรู้สึกยินดีที่เธอยังมีชีวิตอยู่!?
อย่างน้อยก็มีคนหนึ่ง! และคนคนนั้นก็คือฉัน!
ฉันจะต้องบอกกับท่านโคโอริว่าเธอทำดีที่สุดแล้ว ชีวิตในฐานะผู้กล้าของเธอเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง และฉันจะต้องพูดตอนได้อยู่กับท่านโคโอริ
ฉันเงยขึ้นมองไปที่บ้านของท่านโคโอริที่อยู่ตรงหน้า
อีกเพียงก้าวเดียว
แค่ขยับให้เดินไปข้างหน้าก็ทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนเหมือนกับกำลังจะตาย แล้วยังไง!? ถ้าตายไป ฉันก็จะได้อยู่กับวิญญาณของท่านโคโอริ แล้วมีอะไรที่จะต้องกลัวอีกล่ะ!?
“อุก โอ้กกก…”
ฉันอ้วกออกมา รู้สึกเหมือนสมองพยายามหยุดร่างกายเอาไว้ แต่จะอ้วกหรือจะตาย ฉันก็จะก้าวเดินต่อไป
เอาแต่ลังเลที่จะพบท่านโคโอริมาตลอด จนท้ายที่สุดก็ไม่ได้เจอกันเลยสักครั้ง มันเป็นเพราะฉันขี้ขลาด ฉันเข้าสังคมไม่เก่งและคิดว่าจะถูกท่านโคโอริเกลียดถ้าได้เจอกัน… ความหวาดกลัวคอยฉุดรั้งฉันเอาไว้
แต่ว่า จะไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว
ศพของท่านโคโอรินอนหงายอยู่บนฟูกที่สกปรก เธออยู่ในสิ่งที่ดูเหมือนกับถุงนอนเผยให้เห็นเพียงใบหน้า เพราะได้รับการแต่งหน้าศพและเพิ่งตายได้เพี่ยงสองวันทำให้แม้แต่ตอนนี้ใบหน้าของเธอยังคงงดงาม
และมีผู้ชายเมาเรื้อนคนหนึ่งนอนอยู่บนโต๊ะในห้องเดียวกับศพของเธอ
ทางเข้าบ้านไม่มีล็อคเอาไว้จึงเข้ามาได้ง่ายๆ
ชายคนนั้นสังเกตเห็นฉันที่เดินเข้ามาจึงตื่นขึ้นอย่างงงงวย เขาคงเป็นพ่อของท่านโคโอริ
“หืม… แกเป็นใคร?”
“แฮก แฮก…”
เพราะเดินลุยน้ำมาทำให้ตั้งแต่เอวลงไปเปียกแฉะ น้ำหยดลงทั่วพื้นระหว่างที่ฉันเดินตรงเข้าไปหาท่านโคโอริ
“ฉันถามว่าแกเป็นใคร!?”
ชายคนนั้นตะโกนใส่ แต่ฉันไม่ได้สนใจ
ฉันนั่งคุกเข่าลงข้างร่างของท่านโคโอริและก้มหมอบแนบชิดกับพื้น
“ต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มาช้าค่ะ ฉันมาหาแล้วนะคะท่านโคโอริ ขออภัยในสภาพที่ไม่น่าดูแบบนี้ด้วยค่ะ”
“เฮ้ย ทำอะไรของแกวะ!?”
“ฉันได้ยินเรื่องราวที่สุดยอดของท่านโคโอริมามากมายที่ไทชะ ขอบคุณที่สู้ในฐานะผู้กล้า ชีวิตของผู้คนมากมายได้ถูกคุณช่วยเอาไว้ การกระทำของคุณเป็นความจริงที่ไม่อาจปฎิเสธได้ ขอให้คุณหลับอย่างสงบนะคะ…”
“โว้ย!”
“หุบปาก” ฉันเขม่นใส่ผู้ชายคนนั้น “กล้าดียังไงมาส่งเสียงโวยวายข้างท่านโคโอริที่หลับอยู่กัน? ไร้มารยาทซะจริง แล้วงานศพของท่านโคโอริอยู่ที่ไหนล่ะ?”
ฉันมองไปรอบห้อง เห็นแต่กระป๋องเบียร์เปล่า ขวดเหล้า และถุงขยะกระจัดกระจายเต็มไปหมด ไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากนี้ ไม่มีแม้แต่แท่นพิธี
“หา? ใครมันจะไปรู้ล่ะวะ!?” ชายคนนั้นพูดด้วยความฉุนเฉียว
“…เป็นเศษขยะยิ่งกว่าที่เคยได้ยินมาอีกนะ”
เขาไม่ได้แม้แต่คิดจะจัดงานศพให้
ตอนมีชีวิตอยู่ต้องเจ็บปวดเพราะสู้กับสัตว์ประหลาด พอตายไปกลับไม่มีใครจัดงานศพให้… ท่านโคโอริต้องทนกับการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามมามากขนาดนั้นกันนะ
ฉันพยายามอุ้มศพพร้อมถุงนอนขึ้นมา เมื่อสัมผัสกับร่างของเธอ ฉันรู้ได้ในทันที่ว่าบริเวณเอวถูกฉีกออก คงเจ็บมากสินะ มันต้องเจ็บมากแน่ๆ
“ฉันจะรับท่านโคโอริไปเอง ฉันจะเป็นคนทำพิธีศพให้มันถูกต้อง”
ทันใดนั้นฉันก็ถูกผู้ชายคนนั้นต่อยเข้า
สติของฉันหลุดลอยไปชัวขณะและล้มลงกับพื้น ชายคนนั้นขึ้นคร่อมฉันแล้วเริ่มตะโกนใส่ “แกเป็นคนของไทชะสินะ!” “ทั้งหมดเป็นความผิดของแก!” “คิดเหรอว่าไอเด็กเวรนี่มันจะไปเป็นผู้กล้าได้น่ะหะ!” แล้วก็ต่อยฉันซ้ำๆ
ฉันไม่รู้สึกเจ็บจากกำปั้นของชายคนนี้เลย สิ่งที่รู้สึกมีเพียงแค่ความเสียใจที่ต้องให้ท่านโคโอริมาเห็นภาพที่ดูไม่ได้แบบนี้
ขณะที่กำลังโดนต่อยอยู่นั้น ฉันก็เอื่อมมือไปหยิบขวดเหล้าที่อยู่บนพื้นแล้วฟาดเข้าที่ศีรษะของเขา
ชายคนนั้นส่งเสียงร้องออกมาแล้วล้มลง
สภาพของเขาที่นอนดิ้นทุรนทุรายทำให้ฉันนึกถึงหนอนผีเสื้อที่กำลังจะตาย
ฉันพักหายใจครู่หนึ่งแล้วยกศพของท่านโคโอริขึ้นมา
“…ถ้าฉันเป็นแก ทุกอย่างคงจะไม่เป็นอย่างนี้…”
ฉันถ่มน้ำลายใส่ชายที่ชักดิ้นชักงออยู่บนพื้นและเดินตรงออกไปจากบ้านพร้อมศพของท่านโคโอริ
เมื่อเดินออกมามาได้ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี
ฉันไม่ได้แข็งแรงพอที่จะเดินทางไกลได้ ยิ่งมีศพของท่านโคโอริด้วยยิ่งแล้วใหญ่
ทันใดนั้น แสงสว่างก็ผ่านเข้ามาในสายตา
มีรถสีแดงคันหนึ่งจอดอยู่หน้าฉันและอาจารย์คาราสุมะก็เดินลงมาจากรถคันนั้น
“รู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนกว่าจะมาถึงที่นี่ กว่าจะหาทางที่ไม่มีน้ำท่วมได้มันน่าเบื่อสุดๆ เลยนะ ”
“…อาจารย์จะมารับหนูกลับเหรอคะ?”
“เปล่าเลย” อาจารย์ตอบอย่างเฉยเมย “ต้องการรถใช่ไหมล่ะ? อยากไปไหนเดี๋ยวขับไปส่งให้”
ฉันกับท่านโคโอรินั่งลงที่เบาะหลังรถของอาจารย์คาราสุมะ
ฉันปรับท่านั่งของท่านโคโอริแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยเพื่อไม่ให้เธอหล่นไปไหน ค่อยเอื่อมมือไปช่วยพยุงให้ในบางครั้งที่เจอถนนขรุขระ
“หลังจากฝังศพให้ท่านโคโอริ ฉันก็ไม่มีความคิดที่จะกลับไปที่ไทชะแล้วค่ะ”
อาจารย์คาราสุมะที่เป็นคนขับไม่ได้แสดงสีหน้าตกใจหรือโกรธอะไรเมื่อได้ยิน
“งั้นเหรอ อยากทำอะไรก็ตามใจเถอะ ฉันไม่ได้มาเพื่อรับเธอกลับไปอยู่แล้ว ไม่ได้อยู่ภายใต้คำสั่งของไทชะด้วย จริงๆ ก็คิดจะมาที่บ้านของโคโอริหลังจากนักบวชทุกคนหลับตั้งแต่แรกแล้วล่ะ แต่เธอก็ดันรีบออกมาก่อนแล้วจัดการทำมันทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว จนไม่มีบทให้ฉันออกโรงเลยนี่สิ”
อาจารย์พูดด้วยความเคือง
“…ขอโทษค่ะ…”
“คงเหนื่อยมากสินะ เธอทำได้ดีมากที่สามารถมาช่วยโคโอริได้ด้วยตัวคนเดียว สมกับเป็นมิโกะของโคโอริจริงๆ”
“ค่ะ…”
คำพูดของอาจารย์คาราสุมะทำให้ฉันอยากร้องไห้
สุดท้ายแล้ว… ฉันได้ช่วยท่านโคโอริจริงๆ หรือเปล่า
แต่มันสายเกินไปแล้ว
“อาจารย์คะ… ทำไมถึงช่วยพาหนูหนีทั้งที่ทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ล่ะคะ?”
“เพราะมันสนุกยังไงล่ะ” อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “แค่นึกถึงใบหน้าของพวกนักบวชเมื่อรู้ตัวว่าเธอไม่อยู่แล้ว ก็อดขำไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ?”
“…หนูรู้จักกับอาจารย์มาตั้งสี่ปี แต่ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจอาจารย์เลยค่ะ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของอาจารย์
“หืม งั้นเหรอ? ฉันก็เหมือนกัน รู้จักกับเธอมาสี่ปีและยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ทำไมเธอถึงต้องยึดติดกับโคโอริขนาดนั้น? ทำไมถึงได้มอบความรักมากมายให้กับคนที่แทบจะไม่เคยได้พูดคุยหรือได้เจอเลย?”
“เหตุผลเหรอคะ…” ฉันตอบ สัมผัสที่แก้มของท่านโคโอริ “ฉันคิดว่าทุกคำตอบที่ให้กับคำถามว่าทำไมถึงรักใครสักคนหนึ่งมันเป็นเพียงแค่การยึดติดกับข้อเท็จจริง ‘เพราะเป็นคนใจดี’ ‘เพราะเท่’ ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่เอาไว้อธิบายความรู้สึกก็เท่านั้น เมื่อเรารักใครสักคนขึ้นมาจริงๆ มันไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกค่ะ”
“เหรอ เป็นรักแรกพบสินะ”
เมื่อพูดจบ อาจารย์คาราสุมะก็เริ่มฮัมเพลงที่ฉันรู้สึกคุ้นเคย
“คิดถึงวันเก่าๆ เลยนะ” อาจารย์หยุดฮัมเพลงแล้วพึมพัมขึ้นมา “ตอนที่ขับรถแล้วมียูนะนั่งไปด้วย”
แล้วอาจารย์ก็กลับไปฮัมเพลงอีกครั้ง
จำได้แล้ว มันคือเพลง ‘กำลังกลับบ้าน’(家路 Ieji Going Home) ของดีโวแร็ค(Dvorak)
Ⓞ Ⓞ
ฉันอยู่ที่บริเวณศาลเจ้าของครอบครัว ที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยดอกฮิกันบานะจำนวนนับไม่ถ้วนที่ฉันปลูกเอาไว้
ในหมู่พวกมันมีดอกฮิกันบานะสีขาวเบ่งบานอยู่หนึ่งดอก ข้างใต้นั้นมีร่างของโคโอริ จิคาเงะหลับไหลอยู่
“ฉันจะอยู่เคียงข้างท่านโคโอริตลอดไป และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตราบชั่วนิรันดร์…”
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 1 ตอนที่ 4 จบ