[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 3
Ch.3 – -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 3 สิ่งที่ถูกทิ้งไว้เบื่องหลัง
Provider : SanGala
31 กรกฏาคม 2015….
ทั่วประเทศญี่ปุ่นประสบเข้ากับแผ่นดินไหวพายุฝนฟ้าคะนองมาหลายวันแล้ว แต่คำประกาศอพยพกลับเพิ่งมาถึงเมืองที่ฉันอยู่ เพราะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดสึนามิจากผลของแผ่นดินไหว ได้ยินมาหนาหูว่าจังหวัดเอฮิเมะอยู่ฝั่งทะเลเซโตะจึงไม่ได้รับผลจากสึนามิมากนัก แต่เมืองที่ฉันอยู่เป็นแหลมเล็กๆ ชี้ไปทางคิวชู ดังนั้นจะสึนามิที่มาจากแผ่นดินไหวแถวคิวชู หรืออีกฝั่งของชิโกกุก็ยังมาถึงที่นี่อยู่ดี
พ่อของฉันกำลังขับรถพาฉัน แม่ และน้องชายไปโรงเรียนที่ตอนนี้กลายเป็นศูนย์หลบภัย ชาวบ้านคนอื่นๆ เองก็ไปที่นั่นเหมือนกับพวกเรา
วิทยุในรถรายงานข่าวภัยพิบัติไม่หยุด “…ประกาศอพยพได้กระจายไปทั่วพื้นที่เมือง… โปรดดำเนินการอพยพอย่างสงบ…” ชื่อเมืองของเราถูกพูดถึงในข่าวด้วยล่ะ
ไม่ทันไรรถของพ่อก็ต้องหยุดชะงัก การจราจรติดขัดรถเต็มถนนทำให้ไปต่อไม่ได้ คงเพราะคนอื่นๆ เองก็อพยพด้วยรถส่วนตัวเหมือนกัน หรือตำรวจไม่ก็นักดับเพลิงปิดถนนเพราะการสัญจรด้วยรถในเวลานี้มันอันตรายล่ะมั้ง
….ที่ว่ามานั่นไม่ถูกเลยสักข้อ
ผู้คนพากันวิ่งกรีดร้องย้อนกลับมา มันเกิดอะไรขึ้น?
ทันใดนั้น ความหวาดกลัวได้ก่อตัวขึ้นข้างในตัวฉัน
“แย่แล้ว แย่สุดๆ มีอะไรบางอย่างที่น่ากลัวมากๆ อยู่ข้างหน้านั่น มันคือที่สุดของภัยพิบัติที่มนุษย์ไม่ควรเผชิญหน้ากับมัน” ไม่รู้อะไรทำให้ฉันรู้สึกอย่างนั้น
“คุณพ่อหันรถกลับแล้วใช้ทางอื่นไปศูนย์หลบภัยนะ” ฉันพูดเสร็จแล้วโดดลงจากรถตามลำพัง “มีที่ที่หนูจะต้องไปให้ได้อยู่! เพราะงั้นคุณพ่อรีบพาคุณแม่กับน้องหนีไปที่ศูนย์ก่อนได้เลย เดี๋ยวหนูจะตามไปทีหลัง”
หลังปักธงตายเสร็จ ฉันก็ออกวิ่งไปทางที่ไปสู่ที่แห่งนั้น
“เดี๋ยวมาสุซุ! ลูกจะไปไหน!?”
ได้ยินเสียงแม่ไล่หลังมาเพื่อที่จะหยุดฉัน แต่ขาคู่นี้ยังคงวิ่งต่อไปไม่หยุด แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ากำลังวิ่งไปที่ไหน แค่วิ่งไปข้างหน้า ราวกับถูกอะไรสักอย่างดึงไป
ที่ที่ฉันไปถึงคือศาลเจ้าใกล้ท่าเรือมิซากิ
จากตรงนี้ฉันมองเห็นอะไรบางอย่างที่ดูแปลกประหลาด มันยากที่จะหาคำจำกัดความกับ [สิ่ง] ที่มีสีขาว เหมือนกับตัวหนอนขนาดยักษ์หรืออาจจะเหมือนกับปลาทะเลลึกที่ไม่คุ้นตา มันกำลังใช้ส่วนลำตัวกระแทกเข้ากับศาลเจ้าเพื่อทำลายทิ้ง
และที่อยู่กับสัตว์ประหลาดคือเด็กผู้ชายที่ดูอายุน้อยกว่าฉัน เด็กคนนั้นเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า แต่เขากลับตะโกนใส่มันอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าปีศาจขาวตรงนั้นน่ะ! ทำลายศาลเจ้ามันไม่ดีนะ! เดี๋ยวทามะจะสั่งสอนแกเอง!”
ในมือของเด็กชายถืออะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจานที่ทำจากเหล็ก เขาใช้มันฟาดใส่สัตว์ประหลาดสีขาว เป็นไปได้ด้วยเหรอที่คนคนหนึ่งจะสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวใหญ่แบบนั้นได้
“ตาบ้า! รีบหนีเร็วเข้า!”
ฉันวิ่งไปจับแขนเด็กคนนั้นแล้วพาหนีมาอีกทาง
“ใครน่ะ!? อย่ามาขวางการทำดีของทามะนะ!”
“ทำดีกับผีสิ! เดี๋ยวก็ตายหรอ-!”
ก่อนจะพูดจบ สัตรว์ประหลาดสีขาวก็หันมาไล่พวกเรา
อา เรากำลังจะตายแล้วสินะ
แต่ทันใดนั้นเด็กชายก็หันแผ่นจานไปทางสัตว์ประหลาด “จานเล็ก แต่นั่นจะไปทำอะไรได้?” ฉันคิด แต่แล้วปีก… ไม่สิ ใบมีดแสงจำนวนมากยื่นออกมาจากแผ่นจาน ก่อตัวเป็นกำแพงกั้นระหว่างพวกเรากับสัตว์ประหลาด
แผ่นจานนั่น… คือโล่
แล้วฉันกับเด็กชายก็หนีพ้นจากสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาได้
หลังจากนั้นฉันก็ได้รู้ว่าสัตว์ประหลาดสีขาวมีชื่อเรียกว่า [เวอร์เท็กซ์] และมันมีเป้าหมายที่จะทำลายมนุษยชาติ
แล้วก็ได้รู้อีกว่าเด็กผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ผู้ชาย แต่เป็นผู้หญิงแท้ๆ เลย
นั่นคือการพบกันของฉันกับโดอิ ทามาโกะ
คำพยากรณ์เป็นสิ่งที่นำพาฉันไปพบกับทามาโกะ หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกแปลกๆ อีกครั้งเหมือนกับตอนที่เจอกับทามาโกะ และรู้ได้ในทันทีว่ายังมีอีกคนนึงอยู่ใกล้ๆ นี่ที่ต้องไปช่วย
ขาฉันแพลงระหว่างวิ่งหนีจากสัตว์ประหลาดสีขาวที่ศาลเจ้า ทามาโกะจึงวิ่งไปช่วยคนที่ฉันพูดถึงตามลำพัง
คนที่ถูกช่วยไว้เป็นเด็กผู้หญิง เธอชื่อว่าอิโยจิม่า อันสึ ดูเหมือนทั้งสองคนจะสนิทกันในทันทีที่ได้เจอกันครั้งแรก
หลังจากนั้นเราใช้เวลาประมาณชั่วโมงก็มาถึงโรงเรียนที่เป็นศูนย์หลบภัย
แต่เมื่อเดินเข้าไปก็สังเกตเห็นอะไรบ้างอย่างผิดปกติ ที่ประตูกับหน้าต่างชั้นแรกทุกบานถูกโต๊ะกับเก้าอี้วางปิดไว้สนิท เป็นบาริเคดที่ไม่ให้ใครจากข้างนอกสามารถเข้าไปได้
มีของเหลวสีแดงกับอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนก้อนเนื้อกระจัดกระจายไปทั่วลานกว้าง
ฉันอ้วกออกมาทันทีที่รู้ว่ามันคืออะไร
มันคือมนุษย์ ไม่ใช่ มันคือสิ่งที่เคยเป็นมนุษย์มาก่อน บางสิ่ง…บางอย่างที่มีพลังมหาศาลฆ่าพวกเขาอย่างไม่ปราณี
ฉันกับอันสึจังกรีดร้องออกมา
จู่ๆ สัตว์ประหลาดสีขาวตัวการที่ทำให้ผู้คนกลายเป็นซากก้อนเนื้อก็ปรากฏตัวออกมาที่ลานกว้าง บาริเคดที่ถูกตั้งอยู่คงเอาไว้กั้นไม่ให้พวกสัตว์ประหลาดนี่เข้าไป
พวกมันมีกันสามตัว แต่ฉันวิ่งหนีไม่ได้เพราะขาแพลง
(จะต้องมาตายที่นี่เหรอ….)
“ให้ทามะจัดการเอง!”
แต่ทามาโกะกลับยืนประจันหน้ากับสัตว์ประหลาดพวกนั้นโดยไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย หลังจากเธอใช้โล่ป้องกันพวกมันที่พุ่งเข้ามา ทามาโกะหันใบมีดลำแสงที่ออกมาจากโล่ไปทางสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งแล้วขว้างออกไปเหมือนจานร่อน สัตว์ประหลาดตัวนั้นถูกตัดด้วยใบมีดแล้วร่วงลงพื้น
“โอ้! เจ๋งเป้ง!”
ทามาโกะดูจะชอบวิธีการโจมตีแบบนั้นมาก ต่อมาเธอก็ปาโล่ซ่ำแล้วซ่ำอีกจนปราบเวอร์เท็กซ์ที่เหลือทั้งหมดลงได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นฉัน ทามาโกะ และอันสึจังก็เข้าไปในอาคารโรงเรียน
เพราะไม่รู้ว่าเวอร์เท็กซ์จะโผล่มาอีกตอนไหน พวกเราเลยปล่อยบาริเคดที่ชั้นหนึ่งให้เป็นอย่างงั้นไป
ที่นี่มีผู้คนที่บาดเจ็บเพราะเวอร์เท็กซ์กับคนที่กลัวที่จะออกไปข้างนอก – นั่นทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนย้ายทุกคนไปที่หลบภัยจุดอื่น และด้วยความเป็นไปได้ที่จะมีเวอร์เท็กซ์ออกมาอีก การออกไปข้างนอกจึงเป็นเรื่องที่อันตรายมาก
พวกเราจึงอยู่กันที่โรงเรียน รอการช่วยเหลือมาถึง
วันเวลาได้ผ่านไป สองวันเห็นจะได้…
ไม่มีเวอร์เท็กซ์ออกมาเลย
ระหว่างที่อยู่อาคารเรียน ทามาโกะ อันสึจัง กับฉันพวกเราอยู่ด้วยกันแทบจะตลอด
ทามาโกะเป็นพวกโผงผางไร้ความกลัว ทั้งความคิดและการกระทำเหมือนกับผู้ชาย
อันสึจังนั้นตรงกันข้ามเลย เธอเป็นคนอ่อนโยนและขี้กลัว แต่วิธีคิดของเธอนั้นล้ำลึกจนไม่อยากเชื่อว่าอายุน้อยกว่าฉัน
“จะว่าไปแล้วสัตว์ประหลาดสีขาวพวกนั้นมันคือตัวอะไรกันนะ อันสึกับมาสุซุคิดว่าไง?”
“ฉันไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตแบบนั้นมาก่อนเลย แถมมันยังลอยได้ด้วย หรือว่าพวกนั้นจะเป็นอาวุธที่บางประเทศแอบพัฒนาอย่างลับๆ กันนะ?”
“พาตานา… อะไรนะ?”
“ฉัน…กลัว… ถ้าพวกมันออกมาอีกล่ะก็….”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า! ทามะจะปกป้องอันสึเอง!” ทามาโกะพูดให้กำลังใจ
ทามาโกะเหมือนมีตำแหน่งเป็นที่พึ่งพาให้กับอันสึจัง สายตาที่ทั้งคู่มีให้กันราวกับเป็นพี่น้องแท้ๆ ทำให้ฉันยิ้มได้
บางคนที่หลบภัยอยู่ในโรงเรียนเริ่มแสดงท่าทีแปลกๆ น้องชายของฉันเป็นหนึ่งในนั้น พวกเขาเริ่มหวาดระแวงเมื่อมองไปที่ข้างนอกหน้าต่าง และพยายามหลบไปอยู่ในที่ที่มองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกอาคาร
“พวกเขาคงกลัวท้องฟ้าล่ะมั้งคะ”
“ท้องฟ้า? หมายความว่าไงเหรออันสึจัง?”
“ค่ะ ยกตัวอย่างจากน้องชายของคุณมาสุซุ… อาการนี้เกิดขึ้นแค่กับคนที่เห็นสัตว์ประหลาดสีขาวลงมาจากท้องฟ้าเท่านั้นค่ะ ดังนั้นเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะกลัวท้องฟ้า…”
“อ่อ หมายความว่าอย่างงั้นสินะ…”
“อันสึฉลาดจัง! ทามะไม่เห็นจะรู้เรื่องอะไรเลย!”
ทามาโกะพูดอย่างภูมิใจแปลกๆ
ระหว่างนี้ในบางครั้งพวกเราต้องส่งคนออกไปจัดหายาสำหรับคนเจ็บและอาหารประทังชีวิต ในทุกครั้งมีฉัน ทามาโกะ และอันสึจังไปด้วย ทามาโกะเป็นเพียงคนเดียวที่สามารต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ได้ ส่วนฉันมีพลังบางอย่าง(ที่ตอนหลังรู้ว่ามันคือ [คำพยากรณ์])ที่สามารถสัมผัสถึงการมาของเวอร์เท็กซ์ และอันสึจังที่ตามพวกเรามาด้วยเพราะอยากอยู่กับทามาโกะ
“พวกเราต้องอยู่กันแบบนี้จนถึงเมื่อไหร่กันนะ…”
“ไม่ต้องร้องนะอันสึ! ทามะอยู่นี่แล้ว!”
“อีกไม่นานทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติแล้วฉันเชื่ออย่างนั้นนะ แต่ถ้าที่นี่เป็นเอนิลล่ะก็คงมีที่สนุกๆ ให้เล่นมากกว่านี่แน่!”
“เอนิลที่ว่านี่ หมายถึงห้างใหญ่ๆ นั่นเหรอ? ทามะเพิ่งเคยไปแค่ครั้งเดียวเอง”
“เป็นที่ที่ไปกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยล่ะ ที่นั่นมีโรงหนังด้วยนะ อยากไปด้วยกันไหมล่ะไปกันแบบพวกเราสามคนนี่แหละ”
“ที่นั่นมีร้านหนังสือใหญ่ๆ ด้วยใช่ไหมคะ? ฉันอยากไปค่ะ!”
ความมืดมนสลายหายไปจากใบหน้าของอันสึแทนที่ด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
อันสึจังรักหนังสือมาก เรียกได้ว่าเป็นหนอนหนังสือตัวแม่
แม้จะติดอยู่ในโรงเรียนแบบนี้ อันสึจังก็ยังไปที่ห้องสมุดของโรงเรียนแล้วหยิบหนังสือหลายเล่มมาอ่าน มันช่วยลดความตึงเครียดของเธอได้และยังดีกว่าไม่ทำอะไร
“โห ที่เธออ่านอยู่นั่นมันหนังสืออ่านยากทั้งนั้นเลยนะ ส่วนฉันอ่านแต่หนังสือการ์ตูนล่ะ!”
“มาสุซุ… นั่นไม่ใช่อะไรที่น่าภูมิใจเลยนะ”
“แล้วทามาโกะล่ะอ่านพวกนั้นด้วยเหรอ?”
“อ่านแค่การ์ตูนแค่นั้นแหละ!”
“พูดอะไรไม่ดูตัวเองเล้ย!”
อันสึจังหัวเราะ
“หนังสือการ์ตูนก็น่าสนใจนะคะ แต่นิยายเองก็มีความน่าสนใจในแบบของมันเหมือนกันค่ะ หลังจากออกไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะให้ยืมอ่านเล่มที่ฉันชอบนะคะ”
อันสึจังมักจะยิ้มเสมอเวลาพูดเรื่องหนังสือ
พวกเราไม่ได้ติดอยู่ในโรงเรียนนานมากนัก รู้สึกว่าไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำ แต่ระหว่างนั้นพวกเราได้คุยอะไรหลายอย่าง
ทั้งเรื่องที่อยากทำหลังออกไปได้
ทั้งเรื่องที่จะไปเที่ยวด้วยกัน
ทั้งเรื่องงานอดิเรก รายการทีวีที่ชอบ, ทั้งเรื่องที่เรียน, ทั้งเรื่องเพื่อน แม้แต่ความกังวลก็ด้วย…
แม้จะไม่ได้อยู่รู้จักกันมาก่อน แต่พวกเราก็เป็นเพื่อนกันแล้ว บางทีคงเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุดในชีวิตนี้แล้วมั้ง
และแล้วกลุ่มคนที่สวมชุดแบบนักบวชก็มาที่หน้าโรงเรียน พวกเขามาจากองค์กรที่ถูกก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มนักบวช มีชื่อว่า [ไทชะ]
พวกเขามาเพื่อพาทามาโกะกับอันสึจังไปที่ไทชะในฐานะผู้กล้า
แต่ฉันยังมีความกังวลอยู่ในใจนิดหน่อย
เด็กเปราะบางอย่างอันสึจังจะสามารถสู้กับเวอร์เท็กซ์ได้เหรอ?
ความโผงผางของทามาโกะจะทำให้เธอต้องบาดเจ็บ หรือ… ไม่อยากจะคิดเลย… มันอาจทำให้เธอตายก็ได้
ฉันเป็นห่วงทามาโกะมากเป็นพิเศษ ฉันสัมผัสได้ว่าเธอขาดความกลัวไป ถ้าสิ่งที่รู้สึกนั้นเป็นจริง ทามาโกะถือว่าขาดคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของนักสู้ ความเจ็บปวดและความกลัวเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคนหนึ่งหลีกเลี้ยงจากอันตราย คนที่ปราศจากความกลัวจะไม่ลังเลที่จะเอาตัวเข้าไปอยู่ในอันตราย และผลก็เห็นมานักต่อนักแล้วว่าคนพวกนี้อายุไม่ยืน
เมื่อเวลาลาจากมาถึง อันสึจังได้ให้หนังสือเล่มหนึ่งกับฉันก่อนที่จะไปปราสาทมารุกาเมะ มันเป็นหนังสือนิยายต่างประเทศ
จากนั้นฉันก็ได้เป็นมิโกะแห่งไทชะ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาฉันไม่มีความสนใจชินโตหรือตำนานอะไรเลย และไม่เคยตั้งใจที่จะจริงจังกับการสวดอธิษฐานต่อเทพเจ้า
แต่หลังจากนั้นมาฉันเริ่มอธิษฐานจากใจจริง
ฉันไม่ได้ต้องการโลกที่สงบสุข ไม่ได้ต้องการให้มนุษยชาติเอาชนะเวอร์เท็กซ์
สิ่งที่ฉันอธิษฐานมีเพียงสองอย่าง
ขอให้น้องชายของฉันหายจากโรคกลัวท้องฟ้า
และขอให้ทามาโกะกับอันสึปลอดภัย
ขอแค่สองอย่างนี้เป็นจริงทั้งชีวิตนี้ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ฉันแค่อยากให้ทุกคนปลอดภัย
และก็ผ่านมาแล้วสามปีกับอีกเก้าเดือน
ฉันนอนอยู่บนเตียงมองขึ้นไปบนเพดาน
“รุ่นพี่อากิคะ”
ฮานะโมโตะจังรูมเมทของฉันเข้ามาในห้อง
“ตื่นอยู่หรือเปล่าคะ?”
ฉันไม่มีแรงใจที่จะตอบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตื่นอยู่หรือฝันไป
“งานศพของท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าถูกกำหนดวันแล้วนะคะ การตายของพวกเธอยังไม่ถูกประกาศให้คนทั่วไปได้รู้ ดังนั้นมีเพียงคนของไทชะเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมพิธีค่ะ”
“…”
“ส่วนเรื่องการชำระศพ… รุ่นพี่อากิจะเป็นคนทำไหมคะ? เพราะรุ่นพี่เป็นมิโกะของท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่า…”
“…”
“รุ่นพี่… ทำไม่ได้สินะคะ ไม่สิคงเป็นเรื่องปกติ ใครจะไปอยากเห็นร่างไร้ชีวิตของเพื่อนคนสำคัญกันล่ะ…”
“…”
“รุ่นพี่อากิคะ อย่างน้อยก็ทานอะไรสักอย่างเถอะค่ะ ไม่อย่างงั้นรุ่นพี่ก็จะตายเหมือนกันนะคะ”
ตอนนี้ฉันไม่รับรู้อะไรสักอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮานะโมโตะจังออกไปจากห้องเมื่อไหร่
เมื่อกี้ฮานะโมโตะจังคุยเรื่องอะไรนะ? จำไม่ได้เลย
แล้วตอนนี้ฉันทำอะไรอยู่? ไม่รู้เหมือนกัน
พระอาทิตย์ขึ้นและตกดิน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แต่ฉันยังคงนิ่งเฉย
ตั้งแต่ที่ฉันรู้ว่าทามาโกะจังกับอันสึจังตายแล้วมันผ่านมากี่วันกันนะ?
ไม่รู้ตอนไหนที่งานศพของทั้งสองจบลง ฉันจำได้ว่าได้เห็นร่างของพวกเธอแล้วร้องไห้ออกมา แต่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นความจริงหรือความฝัน
เวลาไหลผ่านไป
ฉันไม่ได้ออกจากห้องมาหลายวันแล้ว หนังสือเรียนก็ไม่ได้อ่าน ไม่ได้แตะอาหารที่ฮานะโมโตะจังเอามาให้เลย
ทำไมฉันถึงไม่สามารถอยู่กับทามาโกะกับอันสึได้นานกว่านี้กันนะ?
ฉันทำอะไรพลาดไปเหรอ?
ต่อให้ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ดูแลผู้กล้าฉันก็สามารถเจอกับพวกนั้นได้ จะให้โดดเรียนหรือโดดฝึกมิโกะอะไรนั่นแล้วหนีไปหาก็ยังได้
ฉันควรจะเห็นแก่ตัวมากกว่านี้ ควรให้ความสำคัญกับความปรารถนามาก่อนสิ่งอื่นใด
ความปรารถนาที่จะได้อยู่กับพวกเขา – ได้อยู่กับเพื่อนทั้งสอง
ฉันมองออกไปนอกหน้าต่างจากเตียงที่นอนอยู่นี้
ดอกซากุระร่วงโรยหมดแล้ว
สายไปแล้วสำหรับงานเลี้ยงชมดอกไม้…
เช้าวันหนึ่ง ฮานะโมโตะจังพูดคุยกับฉันระหว่างที่กำลังเปลี่ยนเสื้ออยู่
“วันนี้ก็ไม่ไปเรียนเหรอคะ?”
ฮานะโมโตะจังจะถามคำถามเดิมแบบนี้ทุกวัน
แต่ฉันไม่มีแรงใจจะตอบ
ตามปกติฮานะโมโตะจังจะเดินออกไปทันทีหลังถามเสร็จ แต่วันนี้ยังมีเวลาเหลือก่อนที่คาบเรียนจะเริ่ม เธอจึงพูดต่อ
“รุ่นพี่อากิคะ… คิดจะจมปลักอยู่อย่างนี้ไปตลอดเลยเหรอ? ไม่ว่ารุ่นพี่จะทำอะไร ท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าก็ไม่กลับมาหรอกค่ะ”
“…รู้อยู่แล้วล่ะน่า”
ฮานะโมโตะจังปีนบันไดขึ้นมาที่เตียงชั้นบนแล้วมองหน้าฉัน
“พอเถอะค่ะ”
“…”
แล้วฮานะโมโตะจังก็ชะโงกขึ้นเหนือตัวฉันแล้วมองลงมา
“รุ่นพี่คะ ลุกขึ้นแล้วกลับมาใช้ชีวิตตามปกติเถอะค่ะ”
ฉันพลิกตัวหนี หนีจากสายตาของเธอ
“รุ่นพี่ทั้งไม่พูดและไม่ทานอะไรเลย… คิดจะฆ่าตัวตายไปทั้งอย่างนี้เหรอคะ?”
ฉันยังคงเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป ฮานะโมโตะจังถอนหายใจออกมา
“รุ่นพี่อากิ ฉันยังไม่เคยเล่าสาเหตุที่ทำให้ฉันเป็นโรคกลัวน้ำให้รุ่นพี่ฟังสินะคะ”
ฉันพยักหน้าแล้วเธอก็เริ่มเล่า
“ฉันเกือบจมน้ำทะเลตอนที่ยังอยู่ชั้นประถม คลื่นในวันนั้นแรงมากและพัดฉันออกไปไกลจากฝั่งเรื่อยๆ ร่างกายของฉันขยับไปไหนไม่ได้ ไม่มีใครบนชายฝั่งมองเห็นฉัน… ในตอนนั้นฉันคิดว่าคงจมน้ำตายทั้งอย่างนั้น”
ฉันฟังเรื่องของฮานะโมโตะจังแล้วนึกภาพตามไปด้วย อยู่ในน้ำ หายใจไม่ออก และไม่มีใครหันมาช่วย แม้พยายามจะว่ายน้ำ แต่ร่างกายของเด็กตัวเล็กๆ หรือจะสู้กับคลื่นทะเลได้ สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ดิ้นรนอย่างเปล่าประโยชน์และตายในที่สุด…
มันเลวร้ายมาก แค่จินตนาการก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่ดีแล้ว
“ระหว่างที่กำลังจม ฉันสาปแช่งทุกอย่าง สาปแช่งผู้คนบนฝั่งที่ไม่หันมาช่วยฉันทั้งที่ดิ้นรนแทบตาย สาปแช่งตัวเองที่โง่ไม่ยอมอยู่ติดกับฝั่งจนโดนคลื่นซัดมาไกลขนาดนี้ สาปแช่งพ่อแม่ที่พาฉันมาเทียวทะเล และสาปแช่งแม้แต่น้ำทะเล แต่… สุดท้าย เมื่อฉันยอมรับความตายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความเกลียดชังและพยาบาททั้งหมดหายไป ถูกแทนด้วยความรู้สึกเป็นห่วงคนที่ต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง”
“…เป็นห่วง?” ฉันพูดซ้ำด้วยความงุนงง
“ค่ะ ถ้าฉันตายไป พ่อแม่จะต้องเสียใจมากแน่ๆ บางที่อาจไม่สนแม้แต่ชีวิตตัวเองเหมือนกับที่รุ่นพี่อากิเป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ค่ะ แต่ฉันไม่อยากให้คนที่ถูกทิ้งไว้ต้องเจ็บปวด… นั่นคือสิ่งที่ฉันหวังไว้ อยากให้อย่างน้อยผู้คนที่ถูกทิ้งไว้ก้าวเดินไปข้างหน้าและมีชีวิตอยู่ต่อไป…”
“…”
“ความตายเป็นสิ่งที่เมินเฉยไม่ได้ แต่ในเวลาเดียวกัน การมีชีวิตก็เป็นสิ่งที่เมินเฉยไม่ได้เช่นกันค่ะ และตอนนี้รุ่นพี่อากิก็กำลังทำแบบนั้นอยู่ค่ะ ท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าคงไม่อยากให้รุ่นพี่เป็นแบบนี้หรอกค่ะ”
“…”
“วันนี้รุ่นพี่ไม่จำเป็นต้องไปเรียนก็ได้ค่ะ แต่อย่างน้อยช่วยทานอะไรด้วยนะคะ…”
เมื่อพูดเสร็จ ฮานะโมโตะจังก็เดินออกไปจากห้อง
หลังจากเธอเดินออกไป ฉันที่ยังคงนอนอยู่บนเตียงพูดพึมพำขึ้นมา “ทามาโกะกับอันสึจังไม่ต้องการแบบนี้… เหรอ…”
ฉันออกมาจากห้องในเย็นวันเดียวกัน ไม่ได้ออกมาข้างนอกนานแค่ไหนแล้วนะ?
นี่เป็นเวลาข้าวเย็นแล้วเลยเดินไปที่โรงอาหาร ทั้งที่ไม่ได้เข้าเรียนมาหลายวัน แต่พวกนักบวชกับอาจารย์คาราสุมะไม่ได้ว่าอะไรฉันเลย
แต่บรรยากาศกลับแปลกไป ตามปกติในเวลาข้าวเย็นมิโกะทุกคนมักจะคุยกันตามประสาเด็กผู้หญิง แต่เย็นวันนี้กับเงียบมาคุ เกิดอะไรขึ้นนะ?
ฉันมองหาฮานะโมโตะจัง ไม่เห็นเธอในโรงอาหารเลยแหะ แต่กลับเป็นอูเอซาโตะจังแทน ฉันเลยไปนั่งข้างเธอ
“วันนี้อยู่ไทชะเหรออูเอซาโตะจัง”
“ค่ะ… คุณอากิสภาพดูแย่มากเลยนะคะ หน้าซีดอิดโรยไปหมดเลยค่ะ…”
“ก็นะ โดนกักตัวอยู่ในห้องมานานแล้วนี่นา”
ฉันฝืนยิ้ม
“ไม่เห็นฮานะโมโตะจังเลย รู้ไหมว่าเธอไปไหน?”
เมื่ออูเอซาโตะจังได้ยินคำถาม หว่างคิวของเธอก็มีรอยย่นเกิดขึ้น
“บอกที่นี่ไม่ได้ค่ะ… เดี๋ยวจะบอกทีหลังนะคะ”
หลังกินข้าวเสร็จ พวกเราก็เดินคุยกันที่โถงทางเดินที่ค่อนข้างไกลจากโรงอาหาร
“ตอนนี้คุณฮานะโมโตะถูกแยกตัวไปอยู่ที่อาคารอื่นค่ะ”
“เอ๋? ทำไม…”
แยกตัว? ยัยนั่นไปทำอะไรงั้นเหรอ?
“เธอมีเรื่องเห็นแย้งกับพวกนักบวชและพยายามหนีจากไทชะ…”
พูดอะไรไม่ออก
มีเรื่องกับนักบวชยังพอเข้าใจได้ ฮานะโมโตะจังไม่ลงรอยกับไทชะอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้แสดงท่าทางต่อต้านอย่างเปิดเผย แต่ก็มักเห็นเธอมีเรื่องทะเลาะกับพวกนักบวชบ่อยๆ
แต่ทำไมเธอถึงพยายามหนีจากไทชะล่ะ?
“คุณฮานะโมโตะเห็นแย้งความคิดของไทชะที่จะส่งคุณจิคาเงะกลับบ้านเกิดเพื่อพักฟื้นน่ะค่ะ เพราะเธอยังจะต้องรับมือกับการรุกรานของเวอร์เท็กซ์ในอนาคตอีก…”
“ทำไมฮานะโมโตะจังต้องโกรธด้วยล่ะ ก็แค่กลับบ้านไปพักไม่ใช่เหรอ?”
“…คุณอากิไม่รู้เรื่องสถานการณ์ที่บ้านคุณจิคาเงะสินะคะ… มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนน่ะค่ะ… หนูไม่คิดว่าการได้อยู่กับครอบครัวจะส่งผลดีต่อคุณจิคาเงะ หนูเองก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกันแต่ไม่รู้ว่าพวกเขาจะฟังหรือเปล่า…”
อูเอซาโตะจังเป็นมิโกะที่มีพลังมากที่สุด เป็นตัวเส้นชีวิตที่เชื่อมต่อระหว่างท่านชินจูกับมนุษยชาติ แต่ถ้าไม่นับเรื่องนั้นแล้ว เธอก็ยังเป็นแค่เด็กสาว ม.ต้นธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ฉันคิดว่าด้วยความที่อูเอซาโตะจังเป็นมิโกะที่สำคัญมากที่สุดจะทำให้คำพูดของเธอมีน้ำหนักมากพอ… แต่บางที่อาจไม่ใช่ในกรณีนี้ ถึงจะเป็นมิโกะที่โดดเด่น แต่ในองค์กรของผู้ใหญ่เขาจะให้ค่ากับความเห็นของเด็กมากแค่ไหนกันเชียว?
“นั่นคือสาเหตุที่ฮานะโมโตะจังไม่เห็นด้วยสินะ…”
ตามที่อูเอซาโตะจัง. ฮานะโมโตะจังตั้งใจจะเสนอให้กับไทชะคือให้ส่งโคโอริจังไปที่โรงพยาบาลแทนที่จะเป็นที่บ้านและไม่ต้องยุ่งกับการต่อสู้ไปสักพัก แต่ด้วยความที่ทามาโกะกับอันสึจังตายไปแล้ว และทาคาชิม่าจังก็ยังรักษาอาการบาดเจ็บที่โรงพยาบาลอยู่ ถ้าโคโอริจังไม่ต่อสู้จะทำให้เหลือโนกิจังที่เป็นผู้กล้าเพียงคนเดียว
ระบบป้องกันของชินจูอย่าง [จูไค] อาจจะปกป้องชีวิตของมนุษย์ได้ แต่การโจมตีของเวอร์เท็กซ์ยังคงสร้างความเสียหายกับอาคารเมืองในชิโกกุอยู่ดี ไม่ว่าโนกิจังจะเก่งแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะรับมือมันทั้งหมดคนเดียว
แต่ฮานะโมโตะจังบอกกับไทชะว่า
‘ถ้าเกิดความเสียหายงั้นเหรอคะ? ก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นไปสิคะ ถึงเมืองพังไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะใครตายนี่คะ ไม่สิ ในเมื่อมองผู้กล้าว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส่วนหนึ่งของลัทธิชินจูของพวกคุณแล้ว ชีวิตของท่านโคโอริก็สำคัญกว่าคนคนหนึ่ง ไม่ สำคัญยิ่งกว่าเป็นสิบเป็นร้อยคนอีกค่ะ!’
“อาฮะฮะ… แรงจริงๆ เลยนะ…”
แต่ฉันว่านั่นแหละสมกับเป็นคำพูดของฮานะโมโตะจัง เธอมักพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมาตรงๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดว่า ‘คุณค่าของแต่ละคนมันไม่เท่ากันอยู่แล้วค่ะ อย่างมากก็แค่มีค่าในสายตาใครบางคนเท่านั้น’ สำหรับฮานะโมโตะจังแล้ว โคโอริจังมีค่ามากกว่าคนแปลกหน้าเป็นร้อย
“แน่นอนว่าไม่มีทางที่ไทชะจะยอมรับความคิดนั้น”
ได้ยินเสียงเนือยๆ มาจากที่ไหนสักแห่ง เมื่อหันไปข้างหลังก็พบกับอาจารย์คาราสุมะ มาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ถ้าชีวิตของคนมีค่าไม่เท่านั้น… นั่นหมายความว่า ถ้าชีวิตของผู้กล้ามีค่ามากกว่าคนธรรมดา งั้นการต่อสู้ทั้งหมดที่ผ่านมาของผู้กล้าก็เป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผล เพราะต้องเอาชีวิตของคนที่สำคัญมากกว่าไปปกป้องคนที่มีความสำคัญน้อยกว่า แค่คิดก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว ความคิดนั้นนั่นแหละที่ทำลายความหมายของการต่อสู้ของผู้กล้า”
“อาจารย์คะ…” อูเอซาโตะจังพูดเสียงเบา “ตอนที่พูดถึงชีวิตของคน… ช่วยอย่าพูดอะไรอย่าง [สำคัญน้อยกว่า] หรือ [ สำคัญมากกว่า] ได้ไหมคะ”
อูเอซาโตะจังพูดด้วยโทนเสียงเรียบร้อย แต่ทำให้ฉันรู้สึกกดดัน ตามปกติเธอจะมีท่าทางอ่อนโยน แต่บางครั้งก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวจนไม่ว่าใครก็ต้องยอม
แต่อาจารย์คาราสุมะกลับเมินเฉยปัดความโกรธของอูเอซาโตะจังแล้วพูดต่อ
“หลังจากถกเถียงกันเสร็จ ฮานะโมโตะก็หนีออกจากไทชะโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่นานก็โดนเจอตัวแล้วถูกย้ายไปที่อาคารอื่นเพื่อให้เธอสงบลง… และเพื่อไม่ให้แนวคิดของเธอลามไปยังมิโกะคนอื่นๆ”
“…”
“แต่หลังจากหนีไปได้แล้วเธอคิดจะทำอะไรต่อกันนะ… ไม่เห็นเข้าใจเลย ฟังนะ ฉันแนะนำว่าตอนนี้ปล่อยให้ฮานะโมโตะอยู่คนเดียวไปก่อนเถอะ มันไม่ใช่การขังคุกอะไรหรอก เดี๋ยวก็ได้กลับมาแล้ว ดังนั้นอย่าได้ทำอะไรที่เปล่าประโยชน์จะดีกว่า”
พูดจบอาจารย์คาราสุมะก็หันสะบัดเสื้อคลุมของเธอแล้วจากไป ทิ้งไว้เพียงคำเตือนที่แสนเย็นชา
“เพราะอย่างงี้มิโกะทุกคนในโรงอาหารถึงได้เป็นอย่างนั้นกันสินะ…”
ฉันถอนหายใจ
ระหว่างที่หมกตัวอยู่ในห้อง ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันตั้งตัว ทั้งสถานการณ์ของฝั่งผู้กล้าที่ปราสาทมารุกาเมะที่จนมุมเข้าไปทุกที กับฝั่งไทชะกำลังระส่ำระส่ายเช่นกัน
“…แล้วจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกเนี่ย…”
ฉันมองไม่เห็นความหวังเลยสักนิด ราวกับกำลังเดินอยู่ในความมืดที่ไม่มีสิ้นสุด
สำหรับฉัน ฉันรู้สึกว่าตอนที่ทามาโกะกับอันสึจังตายทุกๆ อย่างก็ดูไม่มีความหมาย ราวกับถ้าจุดจบของมนุษยชาติมาถึงก็ไม่สามารถทำอะไรได้
แต่อูเอซาโตะจังพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม ราวกับพยายามให้กำลังใจฉัน “คุณอากิ พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่าคะ?”
ฉันกับอูเอซาโตะจังเดินทางออกจากไทชะในวันต่อมา หลังจากนั่งอยู่บนรถไฟสักพักหนึ่งก็มาถึงโรงพยาบาลที่ดูทันสมัยแห่งหนึ่ง – โรงพยาบาลที่ฉันรู้จักดี
“นี่มัน… โรงพยาบาลที่น้องชายของฉันอยู่นี่นา”
“ค่ะ ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อรักษาโรคกลัวท้องฟ้าโดยเฉพาะ”
อูเอซาโตะจังเดินเข้าไปในอาคาร แล้วฉันก็เดินตามเข้าไป
ผู้คนที่ทนทุกข์ทรมาณจากความเสียหายทางจิตใจเพราะการรุกรานของเวอร์เท็กซ์ – โรคกลัวท้องฟ้า ยังคงมีอีกมาก
หลังจากเข้ามาในโรงพยาบาลอูเอซาโตะจังก็คุยอะไรบางอย่างกับพยาบาล หลังจากนั้นคุณพยาบาลก็พาเราเดินรอบสถานที่
“เป็นเกียร์ติอย่างยิ่งที่มีท่านมิโกะถึงสองคนมาเยี่ยมชมที่แห่งนี่ค่ะ ดิฉันเชื่อว่าพวกผู้ป่วยจะต้องดีใจมากแน่ๆ ค่ะ”
คำพูดของคุณพยาบาลทำให้ฉันสับสน
กลายเป็นว่ามิโกะถูกนับถือโดยผู้คนเช่นกัน ถึงจะไม่ถึงขั้นขึ้นหิ้งแบบผู้กล้าก็เถอะ
เนื่องจากเป็นโรงพยาบาล ที่นี่เลยมีทั้งคนที่เข้ารับการรักษากับคนที่ต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาล อาการของโรงกลัวท้องฟ้าคือหวาดกลัวท้องฟ้าและไม่สามารถออกนอกอาคารได้ คนป่วยที่มีอาการหนักจะมีภาพย้อนความทรงจำถึงตอนที่เวอร์เท็กซ์รุกรานและตกลงสู่สภาพเสียขวัญจนทำอะไรไม่ได้
แม้คนที่มีอาการเบากว่าก็ยังลังเลที่จะออกไปข้างนอกอาคาร แต่ในโรงพยาบาลนี้จะแบ่งกลุ่มคนตามความหนักเบาของอาการและพากันไปเดินรอบๆ ลานของโรงพยาบาล
“ใช้เวลาตั้งสองปีเลยค่ะกว่าที่คนไข้จะออกไปเดินข้างนอกได้” คุณพยาบาลพูดแล้วหันไปมองกลุ่มเด็กสาวสามคนที่เดินอยู่บนลานกว้าง กลุ่มคนไข้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันเพื่อพยายามที่จะทำให้อาการของพวกเขาดีขึ้น
พวกเขาพยายามเดินหน้าไปทีละก้าวๆ ในโลกที่ดูเหมือนจะไม่มีวันพรุ่งนี้
พวกเขาไม่ได้เอาแต่คร่ำครวญอย่างนิ่งเฉย
พวกเขาไม่ยอมแพ้
…มนุษย์เนี่ยเข้มแข็งจริงๆ เลยนะ
ที่สุดท้ายที่เราไปคือห้องพักของน้องขายของฉัน
“พี่ครับ!”
ฉันโดนน้องโผเข้ากอดทันทีที่เดินเข้าห้อง
เพราะฉันอยู่ไทชะแทบจะตลอด ปีนึงมาเยียมน้องแค่ไม่กี่ครั้งเลยเป็นเหตุผลที่เขาดีใจทุกครั้งที่เราได้เจอกัน เขาอยู่ชั้นประถมปลายแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี
“ผมออกไปข้างนอกได้แล้วนะครับ!” เขาพูดอย่างมีความสุข
“จริงเหรอ!? แต่ว่า… ก่อนหน้านี้แค่มองออกนอกหน้าต่างก็ยังกลัวเลยไม่ใช่เหรอ…”
“โอ้ย นั่นมันนานแล้วพี่ พี่นี่เต่าล้านปีจริงๆ!”
คำพูดกวนๆ ของเขาไม่ทำให้ฉันโกรธเลย กลับทำให้เกือบร้องไห้ด้วยซ้ำ
ผ่านมาแล้วเกือบสี่ปีตั้งแต่เวอร์เท็กซ์ปรากฏตัว ทีละเล็กทีละน้อย… น้องชายของฉันกำลังกลับมาเป็นปกติทีละเล็กทีละน้อย
และไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทุกคนที่โรงพยาบาลนี้พยายามข้ามผ่านภัยพิบัติจากการรุกรานของเวอร์เท็กซ์
ข้ามผ่านและมีชีวิตต่อไป
“ถ้ายังมีผู้คนที่พยายามจะมุ่งหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไป…” อูเอซาโตะจังพูด “นั่นหมายความว่าพวกเราจะยอมแพ้ไม่ได้ ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหน ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ถึงจะเล็กน้อย… พวกเราก็จะต้องพยายามฟันฝ่ามันไปให้ได้ค่ะ”
(แน่นอนอยู่แล้ว)
ฉันเงยหน้าขึ้น
ฉันก็ต้องยอบรับและก้าวไปข้างหน้าเหมือนกัน
หลังกลับมาจากโรงพยายาล ฉันก็อาบน้ำล้างตัว
ต้องทำใจให้สดชื่นสักหน่อย จะเอาแต่สิ้นหวังไปตลอดไม่ได้ เดี๋ยวจะโดนทามาโกะกับอันสึจังหัวเราะเยาะเอา
หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ทำความสะอาดห้องนิดหน่อยแล้วเตรียมสมุดกับหนังสือเรียนให้พร้อม โดดเรียนมาตั้งหลายวันเลยต้องอ่านหนังสือย้อนหลังจะได้ตามคนอื่นทัน
รู้สึกเหงานิดหน่อยที่ไม่มีฮานะโมโตะจังอยู่ในห้องด้วย แต่อาจารย์คาราสุมะบอกแล้วว่าเดี๋ยวฮานะโมโตะจังก็กลับมาแล้ว ถึงแม้จะมีคำถามมากมายเกี่ยวกับความเป็นอาจารย์ของเธอก็เถอะ แต่ฉันเชื่ออาจารย์คาราสุมะนะ
เมื่อหยิบสมุดออกมาจากตู้หนังสือ ฉันสังเกตเห็นหนังสือปกดำที่อยู่ตรงมุมตู้ หนังสือนั้นมีชื่อว่า [ฟาเรนไฮต์ 451]
“นี่มัน… หนังสือที่อันสึจังให้มาก่อนหน้านี้นี่นา”
เนื้อหาในหนังสือมันค่อนข้างยากก็เลยไม่ได้อ่านสักที ถึงจะรู้ว่าสายไปแล้วแต่ฉันควรอ่านมัน ควรจะคุยเรื่องหนังสือกับอันสึจังมากกว่านี้
ระหว่างที่เปิดหน้าหนังสือดู ก็เจอเข้ากับบางส่วนที่ถูกขีดเส้นใต้ไว้ด้วยดินสอ
“ปู่ของผมพูดเอาไว้ ทุกคนต้องทิ้งอะไรสักอย่างเอาไว้ตอนที่เขาตาย ลูกหนึ่งคนหรือหนังสือหนึ่งเล่มหรือภาพวาดหนึ่งภาพหรือบ้านหนึ่งหลังหรือกำแพงหนึ่งฝาหรือรองเท้าทำมือหนึ่งคู่ หรือสวนไม้เล็กๆ บางอย่างที่คุณเคยสัมผัสบางอย่างที่ที่สถิตอยู่ยามที่เราตายไปแล้ว และเมื่อใครสักคนมองไปที่ต้นไม้หรือดอกไม้ที่คุณปลูกเอาไว้ คุณอยู่ที่นั่น”
ฉันละสายตายจากคำเหล่านั้นไม่ได้เลย
“อย่างงี้นี่เอง… แน่นอนอยู่แล้ว…”
ฉันลุกขึ้น
เรื่องกลับไปเรียนน่ะเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะตอนนี้ฉันเจอสิ่งที่ต้องทำแล้ว
วันต่อมาฉันส่งคำขอไปปราสาทมารุกาเมะให้กับไทชะ
ไทชะปฏิเสธ โดยบอกว่าตอนนี้ผู้กล้าอยู่ในสภาพจิตใจที่ไม่ดีนัก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ฉันยอมแพ้
ฉันจะไม่ทำพลาดอีกแล้ว จะไม่อ่อนข้อให้แม้อีกฝ่ายจะเป็นผู้ใหญ่หรืออะไรก็ตาม ถ้าสุดท้ายจะต้องมาเสียใจภายหลังล่ะก็ ขอทำมันทุกอย่างที่สามารถทำได้ไปเลยซะยังดีกว่า และไม่สนด้วยว่ามันจะจบลงด้วยความล้มเหลวหรือต้องเสียน้ำตา
เมื่อฉันบอกว่าจะเลิกเป็นมิโกะถ้าไม่ให้ฉันไปปราสาทมารุกาเมะ ทำเอาพวกนักบวชไม่รู้จะโต้แย้งยังไง
เมื่อมาถึงปราสาทมารุกาเมะ โนกิจังกับอูเอซาโตะจังก็เข้ามาต้อนรับ
ฉันเคยได้ยิน (บังคับให้ฟัง) เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับโนกิจังจากอูเอซาโตะจังทุกครั้งที่เธอมาที่ไทชะ แต่ถึงจะรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับเธอแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เราเจอกันแบบตัวเป็นๆ
เวลานี้เหลือผู้กล้าเพียงสามคน แต่ทาคาชิม่าจังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและไม่สามารถออกมาได้ ขณะที่โคโอริจังขังตัวเองอยู่ในห้อง สภาพจิตใจของเธอตอนนี้แย่มากๆ หายากที่เธอจะออกมาข้างนอก โนกิจังเป็นเพียงคนเดียวที่ยังแบกรับภาระหน้าที่ของผู้กล้าได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆ
“คุณคือคุณอากิสินะ ยินดีที่ได้พบและยินดีต้อนรับ”
โนกิจังพูดพร้อมยื่นมือขวามาที่ฉัน ฉันจึงยื่นมือตอบและจับมือเธอ แต่ฉันกลับสังเกตเห็นผ้าพันแผลที่มืออีกข้างหนึ่ง
“มือข้างนั้นเจ็บอยู่เหรอ?”
“…มันก็ นิดหน่อยน่ะ…”
โนกิจังพยายามเลี่ยงตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
“จะว่าไปแล้ว อะไรทำให้จู่ๆ คุณอากิมาที่ปราสาทมารุกาเมะเหรอคะ? มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าคะ?”
ฉันตอบท่าทางสงสัยของอูเอซาโตะจัง
“มาหาที่ที่วิญญาณของอันสึจังสถิตอยู่น่ะ”
ตามความหมายของข้อความที่อยู่ในหนังสือ
อันสึจังเป็นเด็กที่ฉลาด เมื่อรู้ว่าตัวเองจะต้องสู้กับเวอร์เท็กซ์ในฐานะผู้กล้า จึงรู้ตัวดีว่าสักวันนึงอาจจะต้องตาย ดังนั้นข้อความนี้จะต้องมีอะไรที่ลึกซึ้งขนาดที่เธอต้องขีดเส้นใต้เอาไว้
สิ่งที่อันสึจังต้องการจะสื่อนั้นเหมือนกับที่หนังสือเขียนไว้ “ที่ที่วิญญาณของเธอสถิตอยู่” – บางสิ่งบางอย่างที่ถูกทิ้งไว้ให้กับคนที่มีชีวิตอยู่หลังจากเธอจากไป
ฉันกับอูเอซาโตะจังเข้าไปในห้องของอันสึจัง
เกินครึ่งของกำแพงในห้องคือชั้นหนังสือ และทั้งหมดนั่นเก็บหนังสือไว้แน่นเกือบทุกชั้น
“สมกับเป็นหนอนหนังสือตัวแม่…”
เป็นครั้งแรกที่เข้ามาในห้องของเธอเลยรู้สึกประหม่านิดหน่อย
หลังจากอันสึกับทามาโกะตายอย่างผู้เสียสละ ห้องของพวกเธอก็ถูกทิ้งไว้ไม่มีใครดูแล ข้าวของของผู้กล้าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของไทชะ ดังนั้นต่อให้เป็นครอบครัวก็ยากที่จะเอามันไป มิโกะกับนักบวชจำเป็นต้องตรวจเช็คให้ดีและจะส่งใบรับรองให้กับครอบครัวว่าสิ่งเหล่านั้นสามารถนำไปได้
“ขอโทษนะคะที่ไม่มีเวลามาจัดของของพวกเขา… ทั้งที่ฉันตั้งใจที่จะตรวจของทั้งหมดแล้วส่งกลับให้ครอบครัวกับคุณอากิก่อนงานศพ…” อูเอซาโตะจังพูดด้วยความรู้สึก ดูเหมือนกระบวนการจะมาค้างอยู่ที่เธอ
“ก็นะจะทำไงได้ล่ะ ถ้าถูกบอกให้มาจัดของของเพื่อนสนิท… ที่ตายไปแล้ว ฉันก็คงทำไม่ได้หรอก มันน่าเศร้าเกินไป…”
แม้แต่ตอนนี้ขณะที่ฉันสำรวจห้องอันสึจังมือของฉันกลับไม่ขยับเลย ตอนที่ยังอยู่เธอใช้ชีวิตยังไงนะ? ทามาโกะคงแวะมาวุ่นวายที่ห้องนี้บ่อยๆ แต่อันสึก็คงสนุกไปด้วย… ฉันกำลังจินตนาการภาพเหล่านั้น
ฉันลังเลที่จะขยับสิ่งของในห้องแม้จะเลื่อนนิดๆ ก็ยังลำบากใจ
แต่ฉันตัดสินใจแล้วที่จะเดินไปข้างหน้า
“เริ่มจากที่โต๊ะกับเฟอร์นิเจอร์ก่อนละกัน ส่วนหนังสือไว้ค่อยดูทีหลังเพราะมันเยอะเกิ๊น”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ฉันกับอูเอซาโตะจังเริ่มจัดข้าวของของอันสึจัง
จริงๆ แล้วฉันก็ไม่รู้หรอกว่าอันสึจังทิ้งอะไรเอาไว้ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเธอได้ทิ้งอะไรไว้ตั้งแต่แรก ฉันแค่คาดเดาเอาเอง… ทั้งหมดนี่เป็นเพียงแค่ความต้องการของฉันเท่านั้น
พวกเราหยิบของในโต๊ะกับใต้ลิ้นชักของเธอออกมาเช็คดูทีละชิ้นๆ เสื้อผ้า, เครื่องเขียน, อุปกรณ์การเรียน และอะไรหลายๆ อย่าง ดูแล้วไม่มีอะไรที่ผิดปกติเลย ที่แปลกก็คงเป็นมีดพับสวิส, เข็มทิศ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ – ต้องเป็นของที่ทามาโกะให้มาแหงๆ
เมื่อไม่เจออะไรที่ผิดปกติ เราก็ไปต่อกันที่ชั้นหนังสือ ในห้องนี้มีหนังสือเยอะมากๆ แต่เราก็ต้องไล่ดูทีละเล่ม
และแล้วพระอาทิตย์ก็ตกดิน…
ฉันหยิบหนังสือสารานุกรมเล่มเบ้อเริ่มออกมาระหว่างที่สำรวจชั้นหนังสือสุดท้ายแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ กับหนังสือเล่มนี้ มันเบาผิดจากขนาดที่เห็นและมีบางอย่างที่ทำให้เกิดเสียงกุกกักอยู่ข้างใน
เมื่อเปิดออกมาก็พบว่ามีหน้ากระดาษถูกตัดเป็นช่องสำหรับเก็บสมุดเล่มเล็กเอาไว้
“เจออะไรหรือเปล่าคะ?” อูเอซาโตะจังถามเมื่อเห็นว่าฉันหยุดมือ ฉันเปิดสารานุกรมและเอาสมุดเล่มเล็กให้เธอดู
“นี่…”
“สมุดจดบันทึก… เหรอคะ?”
พวกเราเปิดออกดูแล้วพบว่ามันอัดแน่ไปด้วยลายมือเล็กๆ ในนี้มีทั้งข้อความและภาพที่ถูกตัดมาจากหนังสือเล่มอื่นติดอยู่ด้วย
เนื้อหาในสมุดคือความคิดเห็นของเธอเกี่ยวกับความสามารถของผู้กล้า สิ่งที่อันสึสังเกตระหว่างที่ผู้กล้าคนอื่นสู้และทฤษฎีเกียวกับคำพยากรณ์
ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งโฟกัสที่ [ภูต] มากขึ้น เมื่อต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ ผู้กล้าจะเรียกสิ่งที่เรียกว่า [ภูต] ลงมาสู่ร่างกายของพวกเธอ เพื่อเพิ่มสมรรถนะในการต่อสู้ชั่วคราว วิธีนี้เรียกว่า [ไพ่ตาย] และเอาไว้ใช้สำหรับต่อกรกับเวอร์เท็กซ์ที่ไม่สามารถใช้พลังปกติสู้ได้
แต่ในสมุดได้เขียนเอาไว้ว่าหลังจากใช้พลังภูต พวกผู้กล้าได้รับผลกระทบทำให้บุคลิกภาพเปลี่ยนไป บางคนมีพฤติกรรมก้าวร้าวขึ้นเล็กน้อยหรือมักแสดงท่าทางหงุดหงิด แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นเล็กน้อยมากจนต่อให้รู้ตัวก็เหมือนคิดไปเอง ดังนั้นจึงยากที่จะบอกว่านี่เป็นผลจากการใช้พลังภูต ยังไงซะทุกๆ คนก็มีวันที่ไม่ดีกันบ้าง
ทุกคนนอกจากอันสึเคยใช้ไพ่ตายในการต่อสู้มากกว่าหนึ่งครั้ง
อันสึจังเคยใช้พลังภูตยูกิโจโรนอกการต่อสู้ครั้งหนึ่งโดยไม่มีใครรู้ ไม่กี่วันต่อมาหลังจากนั้นบุคลิกของเธอก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย รู้สึกหงุดหงิดง่ายขึ้นและเศร้าเสียใจ ราวกับทุกอย่างรอบตัวส่งผลให้ไวต่อความรู้สึกในด้านลบมากขึ้น
ส่วนที่สำคัญคือการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของทามาโกะระหว่างออกสำรวจนอกกำแพง ระหว่างสำรวจทามาโกะได้ใช้ภูตวานิวโดด และหลังจากกลับมาที่ชิโกกุ เธออธิบายว่าร่างกายของเธอรู้สึกแปลกๆ ผลตรวจจากโรงพยาบาลบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติและตัวทามาโกะเองก็บอกว่าเธอคงคิดไปเอง
นอกจากสังเกตการณ์ผู้กล้าแล้ว ในสมุดก็มีเขียนถึงเรื่องราวของภูตจากตำนานพื้นบ้านตามถิ่นต่างๆ ในมุมมองของอันสึจัง
ขณะที่อ่านบันทึกของอันสึจังอยู่ มือของอูเอซาโตะเริ่มสั่นเบาๆ
“พลังของภูตส่งผลเสียต่อร่างกายของผู้กล้า… ไม่ทันสังเกตเลย… แต่ก็พอนึกได้ วาคาบะจังกับคุณจิคาเงะก็เคยแสดงอาการแบบที่เขียนไว้เหมือนกันค่ะ…”
“คนของไทชะเองก็คงไม่ทันสังเกตเหมือนกันสินะ…?”
“คงเป็นอย่างนั้นค่ะ คุณอันสึต่อสู้ร่วมกับทุกคน… ทักษะการสังเกตการณ์ของเธอทำให้มองการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของผู้กล้า”
สิ่งที่เธอเจอจากการสังเกตการณ์ไม่ใช่อะไรที่สามารถเอาไปบอกใครได้ มันจะเป็นเหมือนการสุมไฟทำให้เกิดความไม่สบายใจเข้าไปอีก เป็นสาเหตุที่อันสึจังต้องรอจนกว่าจะพิสูจน์ให้ได้ก่อนจะคุยกับใคร และเป็นสาเหตุที่ต้องซ่อนสมุดจากทามาโกะที่มาที่ห้องบ่อยๆ ไว้ในหนังสือที่เธอไม่มีวันแตะ
หลังจากนั้นก็ลองเช็คดูสารานุกรมเล่มอื่นๆ ก็เจอกับสมุดบันทึกหลายเล่มที่เนื้อหาจากการสังเกตผู้กล้า, ชินจู, เวอร์เท็กซ์, ภูต และอื่นๆ อันสึจดบันทึกทุกอย่างมาตั้งแต่ปี 2015 ที่ได้เป็นผู้กล้าของไทชะ
“สมุดบันทึกพวกนี้เต็มไปด้วยข้อมูลที่สำคัญมาก จะเป็นการดีถ้าเรานำข้อมูลพวกนี้ไปใช้อย่างเร็วที่สุดนะคะ”
“นี่จะเป็นประโยชน์… ให้กับผู้กล้าใช่ไหม?”
“ค่ะ แน่นอนเลย”
อูเอซาโตะจังพูดออกมาอย่างแน่วแน่
“งั้นเหรอ… ช่วยได้สินะ มันจะ… เชื่อมต่อไปสู่อนาคตสินะ…”
จู่ๆ ทุกอย่างก็เบลอไปหมด นี่ฉันกำลังร้องไห้เหรอ
แม้จะตายไปแล้ว… แต่อันสึจังกับทามาโกะยังอยู่ที่นี่
สิ่งที่ทั้งสองทิ้งไว้จะถูกส่งต่อให้กับคนรุ่นถัดไป
ในคืนนั้นฉันมีความฝัน
ฉัน, อันสึจัง และทามาโกะไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าด้วยกันในวันหยุด เป็นห้างที่ใหญ่ที่สุดในเอฮิเมะ
ทามาโกะเคยมาที่นี่แค่ครั้งเดียวตอนเป็นเด็ก เธอจึงตื่นเต้นมากๆ กับความกว้างขวางของที่นี่และร้านค้าที่มีมากจนนับไม่ไหว
“ที่นี่มีอุปกรณ์ตั้งแคมป์หรือเปล่า!?” เธอพูดพร้อมวิ่งไปทั่วชั้น
ทามาโกะดึงฉันกับอันสึจังไปด้วยโดยไม่สนว่าอยากไปหรือเปล่า
อีกด้าน อันสึจังหยุดเดินทุกครั้งที่ผ่านร้านหนังสือ
“ไปอีกร้านได้แล้วอันสึ!”
“อีกนิดนะคะ ร้านนี้มีหนังสือน่าสนใจเยอะเลยค่ะ ขอดูอีกสักหน่อยนะคะ…”
ฉันมองทั้งสองปะทะฝีปากกันด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นทั้งสองก็โตขึ้นเป็นนักศึกษามหา’ลัย การต่อสู้ระหว่างผู้กล้ากับเวอร์เท็กซ์จบลงแล้ว และทุกคนได้ใช้ชีวิตแบบเด็กสาวปกติ ไม่ได้ไปมาหาสู่กันยากเหมือนกับตอนที่เป็นผู้กล้ากับมิโกะ บ้านของพวกเราอยู่ใกล้กันจึงได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันบ่อย ฉัน, ทามาโกะ และอันสึจังเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกัน ฉันบ่นกับทั้งสองเรื่องความน่าเบื่อของการหางาน ทามาโกะตอบกลับมาว่า “ทามะจะเป็นนักปีนเขา เพราะงั้นทามะไม่ต้องหางานหรอก!” และอันสึจังพึมพัมว่า “ฉันไม่รู้ว่าอยากทำอะไร…”
“กังวลเรื่องไม่รู้ว่าอยากทำงานอะไรเหรอ… เด็กจริงๆ เลยน้า”
“เป็นนักปีนเขากับทามะสิ! เราจะปีนเขากับตั้งแคมป์ด้วยกันยังไงล่า!”
“หืม… ฉันชอบหนังสือ บางทีฉันควรทำงานที่สำนักพิมพ์หรือไม่ก็เป็นบรรณารักษ์น่าจะดีกว่านะ”
“อันสึ! อย่าเมินทามะเซ่!”
สุดท้ายพวกเราก็เรียนจบ เริ่มทำงาน และกลายเป็นผู้ใหญ่…
เวลาผ่านไปมีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้น แต่พวกเราสามคนยังคงอยู่ด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน คุยสัพเพเหระด้วยกัน…
ตลอดไป
จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป
จะใช้เวลาร่วมกัน…
มันเป็นฝันที่แสนล้ำค่าและแสนเศร้า
เช้าวันต่อมา ฉันเดินไปเปิดหน้าต่างในห้องหลังจากตื่นขึ้นมา
โลกภายนอกเต็มไปด้วยอากาศของฤดูใบไม้ผลิ และทามาโกะกับอันสึจังไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว โลกภายนอกความฝันของฉัน
จากนี้ไปคงมีหลายครั้งที่ฉันคิดว่า “ถ้ามีทามาโกะอยู่ล่ะก็…” หรือ “ถ้ามีอันสึจังอยู่ล่ะ…”
และยิ่งเวลาผ่านไป โลกที่มีความเป็นไปได้ที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่กับโลกที่ทั้งสองได้จากไปแล้วก็ยิ่งห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ
นั่นคือสาเหตุที่ความเสียใจที่คนสำคัญจากไปจะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
ฉันข้ามผ่านความตายของพวกเธอไม่ได้ ฉันไม่สามารถข้ามผ่านความตายของทั้งสองและเดินไปข้างหน้าได้ด้วยตัวเอง
ตลอดไป… ฉันจะแบกรับความตายของพวกเขาเอาไว้ตลอดไปและก้าวไปข้างหน้า
ตั้งแต่วันนั้นฉันเริ่มกลับมาเรียนอีกครั้งและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
แต่ฮานะโมโตะจังยังไม่กลับมา
จะกลับมาเมื่อไหร่กันนะ?
ห้องพักมีที่ว่างมากขึ้นเมื่อไม่มีฮานะโมโตะจังอยู่
ระหว่างที่คิดอย่างนั้นก็ผ่านไปหลายวันแล้ว
เช้าวันหนึ่ง เมื่อฉันเข้าห้องเรียน ก็มองเห็น “ครูกำลังพักอยู่ ศึกษากันเองนะ” เขียนอยู่บนกระดานดำ
ฉันถามเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ “ทำไมอาจารย์คาราสุมะไปพักเวลานี้ล่ะ?”
“เห็นว่าคนของไทชะทุกคนโดนเรียกประชุมน่ะ…”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ก็ไม่รู้รายละเอียดหรอกนะ…” เด็กสาวพูดด้วยความลังเลขณะหนึ่ง “แต่เหมือนว่าท่านโคโอริ จิคาเงะจะพยายามฆ่าท่านโนกิ วาคาบะล่ะ…”
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 1 ตอนที่ 3 จบ