[นิยายแปล]Yuushashi Gaiten บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า - ตอนที่ 1
Ch.1 – -อูเอซาโตะ ฮินาตะเป็นมิโกะ- ตอนที่ 1 เหล่ามิโกะ
Provider : SanGala
ลึกๆ แล้วไม่มีมนุษย์คนใดเชื่อว่า [เราจะต้องตายในสักวันหนึ่ง]
จากหนังสือของเพื่อนรักยอดนักอ่านของฉัน แม้แต่ซิกมันด์ ฟรอยด์(Sigmund Freud) ผู้คิดค้นการรักษาแบบจิตวิเคราะห์(精神分析 Seishin bunseki Psychoanalysis) ได้กล่าวเอาไว้ว่า “เพราะมนุษย์ไม่สามารถจิตนาการถึงความตายของตนได้อย่างแม่นยำ จึงไม่อาจเชื่อได้อย่างเต็มใจว่าตนเองจะต้องตาย”
ชีวิตก็เหมือนกับเดินอยู่บนธารน้ำแข็งที่เปราะบาง ไม่มีใครรู้ว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ที่ [ความตาย] จะเยื้องย่างเข้ามากลืนกิน
แม้แต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 2015 -จะเรียกว่าเป็นภัยพิบัติก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ แต่ฉันสรรหาคำอธิบายที่ดีกว่านี้ไม่ได้นี่สิ- ไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นจริง แต่มันเกิดขึ้นแล้ว
เวอร์เท็กซ์
ชื่อของสัตว์ประหลาดที่ถูกส่งลงมาจากสวรรค์ เพื่อแย่งชิงชีวิตและทำลายอารยธรรมของมนุษย์
ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น ได้มีพลังพิเศษผลิดอกขึ้นในหมู่เด็กสาว
พลังที่ใช้ต่อกรกับเวอร์เท็กซ์ — เด็กสาวที่ถือครองพลังนั้นถูกเรียกว่า [ผู้กล้า]
พลังที่ใช้รับคำพยากรณ์เพื่อชี้นำผู้กล้าและปุถุชน — เด็กสาวที่ถือครองพลังนั้นถูกเรียกว่า [มิโกะ]
ฉันอากิ มาสุซุ เป็นหนึ่งในมิโกะนั่น
“หนาวอ่ะ!! ไม่ไหวๆ!! ถ้าขืนมากกว่านี้ล่ะก็! มีหวังตายแน่!”
2019 มีนาคม เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ยังไม่หมดลมหนาว ฉันกรีดร้องแล้ววิ่งพรวดออกมาจากน้ำตกระหว่างทำพิธีชำระร่างกายประจำวันของมิโกะ
“คุณอากิ นี่ยังไม่ถึงสองนาทีเลยนะคะ…”
คำพูดนั้นมาจากรอยยิ้มเล็กๆของอุเอซาโตะ ฮินาตะ ที่มาชำระร่างกายใต้น้ำตกเช่นกัน เธอเป็นมิโกะเหมือนกับฉัน แต่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี
“สองนาทีก็พอแล้วสำหรับต้มบะหมี่ถ้วยน่ะ! สาวน้อยบอบบางไร้ไขมันอย่างฉันจะไปทนหนาวได้ยังไงเล่า อีกอย่างยังมีใครบางคนที่ยกโทษให้ไม่ได้!”
ฉันวิ่งตรงไปที่ [ใครบางคน] ที่พูดถึงทันที
“เอ๋ คุณอากิ!? จะไปไหนน่ะคะ?”
อุเอซาโตะจังตามหลังมาด้วย
ฉันเปิดประตูไปที่ห้องอาบน้ำรวมของไทชะ
ข้างหลังประตูมีคนคนหนึ่งกำลังแช่ในอ่างสบายใจเฉิบทั้งๆ ที่พวกเรามิโกะต้องทนทรมาณกับความเย็นเฉียบใต้น้ำตก
“ฉันก็อยากใช้อ่างเหมือนกันนะ!”
ฉันตะโกนพร้อมกระโดดลงอ่าง
“เดี๋ยวก่อนสิคะ รุ่นพี่อากิ! กระโดดเข้ามาแบบนั้นไม่ได้นะคะ!”
สาวน้อยที่หน้าผมเปียกโชก เพราะโดนน้ำกระเซ็นใส่ —เธอชื่อว่าฮานะโมโตะ โยชิกะ— กำลังเขม่นมาทางฉัน แต่ฉันทำเป็นเมินกลับไป
“ฮิฮี่ ขอแช่ด้วยคนได้ม้า? ชำระล้างด้วยน้ำอุ่นๆ เนี่ยมันสบายตัวจริมๆ นะ”
อุเอซาโตะจังที่ตามมาก็เข้ามาในห้องอาบน้ำด้วย
“ฮ้าาา ดีจริงจริ๊งงงง อุเอซาโตะจังก็ลงมาแช่ด้วยกันสิ”
“ทำไมคนที่มีสิทธิ์อนุญาตคนอื่นถึงเป็นรุ่นพี่อากิล่ะคะ? ช่วยออกไปทีเถอะค่ะมันอึดอัด”
โดนฮานะโมโตะจังดุซะแล้ว
“อะ ขอโทษที่รบกวนนะคะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
อุเอซาโตะจังพูดขึ้น
“ไม่เลยค่ะ ดีซะอีกถ้าคุณอุเอซาโตะได้แช่น้ำอุ่น เกิดไม่สบายขึ้นมาจะไม่ดีเอานะคะ”
“เดี๋ยวสิฮานะโมโตะจัง ไหงทีกับฉันไม่เห็นพูดงี้บ้างเลยอะ?”
“รุ่นพี่คะ คุณค่าของแต่ละคนมันไม่เท่ากันอยู่แล้วค่ะ อย่างมากก็แค่มีค่าในสายตาใครบางคนเท่านั้น”
“รู้สึกอย่างกะโดนเหยียดด้วยคำพูดเข้าใจยากยังไงก็ไม่รู้!”
ฉันสาดน้ำใส่ฮานะโมโตะจัง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของเธอเย็นชาน้อยลงเลยสักนิด
ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้มีท่าทีจะพยายามไล่ฉันออกไปจริงๆ ฉันคงไม่ได้ถูกเกลียดหรอกมั้ง
…คงงั้นแหละ
…แน่นอนอยู่แล้ว
…หวังว่านะ
“แต่มันเป็นความผิดของฮานะโมโตะจังไม่ใช่เหรอที่ได้รับอนุญาตให้แช่น้ำในนี้แทนที่จะไปแช่น้ำตกน่ะ”
ฮานะโมโตะจังเป็นมิโกะเหมือนกันกับฉันและอุเอซาโตะจัง เพราะงั้นเธอเลยต้องชำระร่างกายประจำวันเพื่อรับใช้พระเจ้า
เธอตอบกลับใบหน้าไม่สบอารมณ์ของฉันอย่างเรียบเฉย
“ฉันลงน้ำไม่ได้”
ตามนั้นแหละ ฮานะโมโตะเป็นโรคกลัวน้ำ แค่ลงแช่น้ำอุ่นที่สูงประมาณเข่านี่ได้ก็ถือเป็นความสำเร็จอย่างนึงแล้ว ไม่ต้องคิดถึงเรื่องไปอยู่ใต้น้ำตกเลย
ตอนที่ไปน้ำตกครั้งแรก ฮานะโมโตะจังถึงกับอ้วกออกมาและสลบไปทั้งอย่างนั้นเลย หลังจากนั้นเธอก็ได้รับอนุญาตให้ชำระร่างกายในอ่างอาบน้ำแทน
“เพียงน้ำอุ่นในอ่างนี้ก็พอแล้วสำหรับการชำระร่างกายค่ะ พวกเราไม่ใช่พระบำเพ็ญตนเลยไม่จำเป็นต้องเคร่งครัด ขนาดนั้น และพิธีกรรมเป็นสิ่งที่ถูกปรับเปลี่ยนให้ง่ายขึ้นมาตลอดอยู่แล้วนะคะ อย่างตอนที่เข้าศาลเจ้าสิ่งที่ทำก่อนก็แค่ล้างมือล้างปากใช่ไหมล่ะคะ? นั่นเป็นการทำพิธีชำระร่างกายที่ถูกปรับเปลี่ยนให้ง่ายขึ้นเช่นกัน ฉะนั้นเท่านี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ”
“โอ้… สมกับเป็นเป็นเด็กวัดอย่างฮานะโมโตะจัง รู้เยอะไปหมด งั้นไม่ลองเอาเหตุผลนี้ไปบอกพวกผู้ใหญ่ดูบ้างล่ะ?”
ฮานะโมโตะจังเกิดและถูกเลี้ยงดูที่ศาสเจ้า เธอเลยรู้อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับศาสนา เทพเจ้า และพิธีกรรม
“เปล่าประโยชน์ค่ะ สิ่งที่พวกเขาเชื่อมันไม่เหมือนกัน พวกเขามีความเชื่อในแบบของพวกเขาเอง”
เธอส่ายหัวตอบด้วยโทนเสียงเย็นเฉียบ
อุเอซาโตะจังยืนกอดอกฟังสิ่งที่พูด หยุดเถอะ ปกติหน้าอกเธอก็ใหญ่กว่าเด็กม.ต้น ทั่วไปอยู่แล้ว พอทำอย่างนี้มันยิ่งทะลักเข้าไปอีก
“นั่นสินะคะ… งั้นให้หนูเป็นคนบอกกับนักบวชของไทชะดูไหมคะ การชำระร่างกายที่น้ำตกในเดือนหนาวแบบนี้ก็ไม่ดีต่อสุขภาพมิโกะด้วย หนูจะขอพวกเขาอนุญาตให้ทุกคนใช้ห้องอาบน้ำในการชำระร่างกายแบบคุณฮานะโมโตะเองค่ะ”
“โอ้ ดีเลย! ถ้าเป็นอุเอซาโตะจังล่ะก็ พวกผู้ใหญ่ต้องฟังแน่!”
ในหมู่มิโกะด้วยกัน อุเอซาโตะจังเป็นคนที่มีพลังมากที่สุด เธอเป็นมิโกะคนสำคัญที่สุดของไทชะ ดังนั้นหากขออะไรพวกเขายอมทำให้หมด
“ถ้าหากพวกเขายืนกรานว่าชำระร่างกายใต้น้ำตกสำคัญจริงๆ หนูจะทำเองคนเดียวค่ะ ตราบใดที่นั่นเป็นสิ่งที่มิโกะคนอื่นๆ ต้องการ….”
“เอ๋? อุเอซาโตะจังจะไปน้ำตกคนเดียวงั้นเหรอ?”
“ค่ะ ถ้ามันจำเป็น”
ฉันถอนหายใจเหือกใหญ่
“งั้นฉันไปด้วย จะปล่อยให้คนที่อายุน้อยกว่าทำอะไรห่ามๆ คนเดียวน่ะ ฉันทำไม่ได้หรอก”
อุเอซาโตะจังยิ้มแล้วโค้งให้
โธ่เอ้ย ฉันล่ะไม่อยากไปที่น้ำตกนั่นเล้ย แต่ดันทำไม่ได้ เพราะเธอพูดแบบนั้นนั่นแหละ อุเอซาโตะจังมักจะหาวิธีประนีประนอมเพื่อรักษาหน้าของทั้งฉัน และพวกผู้ใหญ่แบบที่ไม่มีทางปฎิเสธได้ทุกที
พออุเอซาโตะจังพูดทีไรบางครั้งก็มักเป็นแบบนี้ เธออยู่ฝั่งมิโกะ แต่ก็อยู่ฝั่งไทชะด้วย เพราะแบบนั้นเธอจึงพยายามสร้างความเป็นกลาง และไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งเท่าที่เป็นไปได้
แม้จะต้องเสียสละตัวเองก่อนใครก็ตาม
นั่นเป็นทั้งความกล้าหาญ และน่ากลัวของอุเอซาโตะจัง
มันก็ผ่านมาสามปีครึ่งหลังจากปี 2015 ที่สัตว์เวอร์เท็กซ์ปรากฎตัว และเข้าทำลายญี่ปุ่นเกือบทั้งหมด เขาว่ามาว่าบางที่ยังมีมนุษย์เหลือรอดอยู่ ที่ใช้คำว่า [เขาว่ามา] เพราะตอนนี้เราอยู่กันที่ชิโกกุ แต่ไม่สามารถออกไปดูสถานการณ์ภายนอกได้
ชินจู ต้นไม้ที่ว่ากันว่าเป็นการรวมตัวกันของเทพพิภพ กับกำแพงที่ปกกันการโจมตีจากเวอร์เท็กซ์ได้ปรากฏขึ้นที่ชิโกกุ เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ แต่เพราะมีฝูงเวอร์เท็กซ์อยู่ข้างนอกกำแพง การออกไปข้างนอก –หมายถึงออกไปนอกชิโกกุ– เป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ เป็นเหตุที่เราไม่รู้ว่าข้างนอกเป็นยังไงบ้าง
ตอนนี้กลุ่มนักบวชได้รวมตัวกันก่อตั้งเป็นองค์กรที่มีชื่อว่า [ไทชะ(大社 ศาลเจ้าใหญ่)] เพื่อจัดการเรื่องการตอบโต้เวอร์เท็กซ์
ไทชะรวบรวมผู้กล้ากับมิโกะไว้ในการดูแลของพวกเขาเพื่อต่อสู้กับเวอร์เท็กซ์ ผู้กล้าทั้งห้าของชิโกกุอาศัยอยู่ที่ฐานปราสาทมารุกาเมะจังหวัดคากาว่า ด้วยความที่มิโกะมีจำนวนมากกว่าผู้กล้า นอกจากอุเอซาโตะที่อาศัยอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะเพื่อดูแลพวกผู้กล้าแล้ว มิโกะคนอื่นๆ ต้องอยู่ในที่พักของไทชะ
ในหมู่มิโกะเองก็มีคนเด่นๆ อยู่สามคน
คนแรกคืออุเอซาโตะ ฮินาตะ เพื่อนสนิทของผู้กล้าโนกิ วาคาบะ เธอเป็นผู้นำทางอพยพในตอนที่เวอร์เท็กซ์ปรากฏตัวครั้งแรก อุเอซาโตะจังเป็นมิโกะที่มีพลังมากที่สุด อยู่ม.2 อ่อนกว่าฉันหนึ่งปี แต่หน้าอกใหญ่กว่า เรียกได้ว่าบาละกัก
คนต่อมาคือฮานะโมโตะ โยชิกะ เธอเป็นคนเจอผู้กล้าโคโอริ จิคาเงะ และเป็นคนในศาลเจ้าตั้งแต่แรกอยู่แล้ว อยู่ม.2 เหมือนกับอุเอซาโตะจัง แล้วก็ตัวคันจิชื่อของเธอ(美佳) อ่านว่า [โยชิกะ] ไม่ใช่ [มิกะ]
คนสุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด ฉันเองอากิ มาสุซุ สาวน้อยสดใสชั้นม.3 ผู้เจอผู้กล้าโดอิ ทามาโกะ กับอิโยจิม่า อันสึ! ฉันอายุมากกว่าอุเอซาโตะจังกับฮานะโมโตะจัง เพราะงั้นเลยพยายามทำตัวเป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ แต่อนิจจาฉันกลับรู้สึกว่าฮานะโมโตะจังไม่ค่อยแสดงความเคารพกันสักเท่าไหร่ รู้แหละว่าต้องแสดงให้เห็นว่าฉันเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่ไม่มีโอกาสได้แสดงนี่สิ เพราะอุเอซาโตะจังมีความเป็นมิโกะมากกว่าใคร แถมฮานะโมโตะจังยังรู้เยอะรู้จริงกว่า โอกาสสุดจะริบหรี่
และนอกเหนือจากผู้กล้าสี่คนที่พูดไปแล้วยังมีอีกคนนึง ทาคาชิม่า ยูนะได้รับการชี้นำโดยมิโกะชื่อว่าคาราซุมะ คุมิโกะ แต่เธออายุมากที่สุดในกลุ่มพวกเรา และเสียพลังมิโกะไปแล้ว ตอนนี้เธอทำหน้าที่เป็นนักบวชหญิงของไทชะ
ตามปกติอุเอซาโตะจังจะพักอยู่ที่ปราสาทมารุกาเมะ แต่ช่วงนี้เธอมาอยู่ที่ไทชะชั่วคราว
“จะว่าไปแล้วอุเอซาโตะจัง ทำไมวันนี้ถึงมาอยู่ที่ไทชะเหรอ?”
ฉันถามระหว่างไดร์ผมหลังขึ้นจากอ่าง
“อีกไม่นานพวกผู้กล้าจะออกสำรวจนอกกำแพง หนูเลยถูกเรียกมาประชุมวางแผนเส้นทางในการเดินทางค่ะ”
“…เหรอ พวกนั้นจะออกไปสำรวจข้างนอกจริงๆ สินะ”
ไม่นานมานี้ พวกผู้กล้าได้เอาชนะเวอร์เท็กในศึกครั้งใหญ่ เรียกว่า [ศึกปราสาทมารุกาเมะ] เวอร์เท็กซ์หยุดโจมตีชิโกกุหลังจากนั้น จึงมีการเสนอแผนการส่งผู้กล้าไปสำรวจนอกชิโกกุในเวลาสงบสุขสั้นๆ แบบนี้ และดูเหมือนจะผ่านซะด้วย
สามปีครึ่งแล้วตั้งแต่ที่มีกำแพงล้อมรอบชิโกกุ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีการออกสำรวจภายนอกชิโกกุเลย เพราะมีเวอร์เท็กซ์บินให้ว่อน
จนกระทั่งฤดูร้อนที่ผ่านมา มีการพบว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่ที่สุวะจังหวัดนางาโนะ แต่นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ยังไม่มีใครรู้เลยว่าที่สุวะเป็นยังไงบ้าง
ฮานะโมโตะจังขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างเป็นกังวลระหว่างที่เปลี่ยนเสื้อ
“มันจะดีจริงเหรอคะคุณอุเอซาโตะ ที่เราจะส่งคนไปข้างนอกกำแพง? มีข่าวลือว่าข้างนอกนั่นเต็มไปด้วยมลพิษนะคะ…”
“วันก่อนพวกผู้กล้าได้ลองออกไปไม่ไกลมากจากกำแพงเพื่อตรวจสภาพดิน อากาศ และน้ำของโลกภายนอกน่ะค่ะ ไม่ใช่แค่ไม่มีสารปนเปื้อนนะคะ ระบบนิเวศยังดีกว่าเมื่อก่อนด้วยค่ะ”
ที่อุเอซาโตะจังพูดไม่ได้ช่วยทำให้ท่าทีของฮานะโมโตะจังดีขึ้นเลย ดูแล้วความกังวลจะไม่หายไปเลยสักนิด
ฉันกับฮานะโมโตะจังเดินเข้าห้องเรียนหลังจากเสร็จพิธีชำระร่างกาย อุเอซาโตะจังไปคุยกับผู้ใหญ่เรื่องการสำรวจภายนอกของผู้กล้า
เมื่อไปถึงห้องเรียน มิโกะส่วนใหญ่ก็มานั่งรอกันแล้ว สงสัยพวกเราจะมาสาย เพราะไปแช่น้ำในอ่างต่อจากแช่น้ำตกแท้ๆ
เมื่อคาบเรียนเริ่มขึ้น หญิงสาวอายุประมาณยี่สิบสวมชุดคลุมสีขาวเดินเข้ามาในห้อง เธอคืออดีตมิโกะ คาราสุมะ คุมิโกะ นอกจากทำหน้าที่เป็นนักบวชแล้ว อาจารย์คาราสุมะก็เป็นครูให้กับพวกมิโกะด้วย
“อา… งั้นก็ เริ่มเรียนได้เลย”
อาจารย์คาราสุมะเป็นคนไม่ค่อยกระตือรือร้นสักเท่าไหร่ เธอเรียนจบปริญญาก่อนเข้ามาเป็นมิโกะของไทชะ ได้ยินมาว่าเป็นคนที่เรียนเก่ง และฉลาดมากๆ ด้วย แต่จากบุคลิกแล้วดูไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลยสักนิด
มิโกะที่นี่มีอายุไม่เท่ากัน มีตั้งแต่เด็กสุดอยู่ชั้นประถมไปจนถึงมัธยมปลายที่แก่ที่สุด เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสอนทุกคนให้เรียนเรื่องเดียวกัน ด้วยเหตุนั้น ส่วนใหญ่เลยศึกษาด้วยตัวเองจากตำราเรียนกับเอกสารอ้างอิง และถ้ามีส่วนไหนไม่เข้าใจก็ยกมือถามอาจารย์คาราสุมะ นี่แหละรูปแบบการเรียนของที่นี่ล่ะ
ถึงนักเรียนทุกคนจะเป็นมิโกะ แต่เรื่องที่เรียนก็ไม่ต่างอะไรจากที่โรงเรียนสอนก่อนเข้าไทชะเลย แม้จะมีพลังพิเศษก็จำเป็นจะต้องได้รับการศึกษาตามกฎหมาย ดังนั้นเราจึงได้เรียนแบบเดียวกับที่สอนในโรงเรียนทั่วไป
ระหว่างที่อาจารย์คาราสุมะกำลังสอนคณิตพวกมิโกะเด็กประถมอยู่ ฉันเหลือบไปมองฮานะโมโตะจังที่นั่งข้างๆ เธอกำลังจ้องสมุดด้วยสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก ถึงปกติจะไม่ใช่พวกร่าเริง แต่ดูท่าเธอจะกังวลเรื่องที่ผู้กล้าจะไปสำรวจนอกกำแพงพรุ่งนี้ชั่วร์
ฉันเขียน “ห่วงพวกผู้กล้าเหรอ?” ลงที่มุมสมุดแล้วเปิดให้ฮานะโมโตะจังอ่าน จากนั้นปากกาลูกลื่นก็เริ่มขีดเขียนลงบนสมุดของเธอ
“ต่อให้บอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องระบบนิเวศ แต่เราก็ยังไม่รู้ว่าข้างนอกนั่นมีเวอร์เท็กซ์มากขนาดไหน ถ้าท่านโคโอริเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจะทำยังไง?”
“คิดมากเกินไปแล้วนะฮานะโมโตะจัง ผู้กล้าไม่เป็นไรหรอก พวกนั้นอึดจะตาย แค่โนกิจังคนเดียวก็ยิ่งกว่ายอดมนุษย์แล้ว”
“ท่านโคโอริเปราะบางกว่าผู้กล้าคนอื่นๆ นะคะ รุ่นพี่อากิไม่เป็นห่วงท่านอิโยจิม่ากับท่านโดอิบ้างเหรอคะ? เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ไม่นะ พวกนั้นมีพลังผู้กล้าอยู่ ต้องไม่เป็นไรแน่”
“เย็นชา”
อยากสวนใจจะขาด แต่ไม่เอาดีกว่า
พอลองมาคิดดู แล้วอุเอซาโตะจังล่ะ? อุเอซาโตะจังกับผู้กล้าโนกิจังเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็ก สนิทระดับเรียกว่าครอบครัวเดียวกันได้เลย อยากรู้จังว่าเธอจะกังวลที่โนกิจังกับผู้กล้าคนอื่นๆ ออกไปสำรวจนอกกำแพงหรือเปล่านะ
การเรียนการสอนจบเวลาเที่ยงตรง นั่นรวมไปถึงช่วงเวลาของเด็กสาวม.ต้น ธรรมดาด้วย หลังจากนี้คือช่วงเวลาของ [มิโกะแห่งไทชะ]
พวกเราเรียนการสวดโนริโตะ ความรู้เกี่ยวกับศาสนาชินโต และฝึกสิ่งที่จำเป็นในการทำพิธีกรรมต่างๆ อย่างเต้นรำกับเล่นเพลงงากาคุ(雅楽 Gagaku เพลงบรรเลงที่สง่างาม)
เรียนจนสุริยนย่ำสนธยา
เมื่อถึงเวลาข้าวเย็น มิโกะจะรวมตัวกันที่โรงอาหาร อุเอซาโตะจังก็อยู่ด้วย คงเสร็จจากที่ประชุมเรื่องการออกสำรวจ
มิโกะไม่เคร่งครัดเรื่องการกินอาหารเหมือนบางศาสนาที่ต้อง [มังสาวิรัสเท่านั้น!] แต่อาหารที่กินกันในไทชะนี่ก็ไม่ได้เหมือนกับทั่วไปสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเป็นของเบาๆ ย่อยง่ายๆ โดยมีผักกับปลาเป็นหลัก เหมือนผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการกินก็ไม่ปาน คือพวกเรายังเป็นเด็กเอ๊าะๆ สุขภาพดีอยู่นะยะ แบบนี้ฉันไม่ปลื้ม
ทุกคนพูด [ทานละนะคะ] พร้อมกันแล้วเริ่มกิน
ไม่มีอะไรหยุบหยิบอย่างการสวดขอบคุณพระเจ้า
“ความจริงแล้ว” ฮานะโมโตะจังพูด “ศาสนาชินโตมีบทสวดที่ต้องท่องก่อนทานอาหารอยู่ พวกผู้ใหญ่เขารู้อยู่แล้ว สงสัยคำในบทสวดนั้นคงไม่เข้ากับ [ลัทธิชินจู] ล่ะมั้งคะ”
ฮานะโมโตะจังเรียกศาสนาที่ไทชะสอนว่าลัทธิชินจู ฉันเคยถามครั้งนึงว่ามันต่างจากชินโตปกติยังไง ฮานะโมโตะจังก็อธิบายอะไรที่เข้าใจยากๆ อย่างการนับถือเทพองค์เดียว การนับถือเทพหลายองค์ นิกายชินโต ชินโตโบราณ และอื่นๆ อีกมากมาย ฉันตอบไปว่า “อ่อ เออ อืม อย่างงี้นี่เอง” ทั้งที่ไม่เข้าใจอะไร ฮานะโมโตะจังก็คงดูออกว่าที่อธิบายยาวเหยียดไม่เข้าหัวฉันเลย
ถึงรู้อย่างนั้น เธอให้เหตุผลที่เรียกว่าลัทธิชินจู เพราะไทชะไม่ได้นับถือเทพของญี่ปุ่น แต่นับถือท่านชินจูที่อยู่ในชิโกกุแทน
หลังกินข้าวเสร็จก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง ที่พักของมิโกะเป็นเหมือนหอของโรงเรียนประจำ
พวกมิโกะจะอยู่กันแบบสองคนต่อหนึ่งห้อง ฉันกับฮานะโมโตะจังเป็นรูมเมทกัน แรกๆ ฮานะโมโตะจังมีท่าทีไม่พอใจเอามากๆ ที่ต้องอยู่ร่วมห้องกับฉัน แต่ตอนนี้เธอชินแล้ว แบบว่าเธอไม่ชอบให้มีคนอยู่ด้วยเวลานอนน่ะ ไม่ใช่เพราะเธอเกลียดฉันหรอก(อย่างน้อยฉันก็เชื่อแบบนั้น!)
กิจกรรมในห้องแต่ละคนคนก็มีหลากหลาย อย่างอ่านหนังสือเตรียมสำหรับบทเรียนวันพรุ่งนี้ อ่านมังงะ หรือไม่ก็ฆ่าเวลาจนถึงสามทุ่มที่เป็นเวลาปิดไฟ งานของมิโกะเริ่มตั้งแต่รุ่งเช้า ฉะนั้นจึงต้องเข้านอนตั้งแต่หัววัน
อื้มมม สุขภาพ ดี๊ดี
วันวันของมิโกะแห่งไทชะก็แบบนี้แหละ
งั้นก็ ราตรีสวัสดิ์
….
…….
“………….. จะไปราตรีสวัสดิ์ได้ยังไงกันเล่าาาาา!”
ฉันกระโดดขึ้นจากเตียง ด้วยความที่นอนอยู่เตียงชั้นบน พอโดดมาทีหัวก็เลยโขกเข้ากับเพดานอย่างจัง
“เสียงดังโหวกเหวกอะไรคะ? เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?”
ฉันกุมหัวน้ำตาคลอเบ้า ได้ยินเสียงสุดเย็นชาของฮานะโมโตะจัง เหมือนว่าเธอที่อยู่เตียงชั้นล่างจะตื่นด้วยเหมือนกัน
“นอนตอนสามทุ่มเนี่ยนะ!? พวกเราเป็นเด็กอนามัยหรือไง? เด็กประถมหราาา!?”
“เป็นเด็กอนามัยไม่ดีตรงไหนคะ? และที่นี่ก็มีมิโกะที่เป็นเด็กประถมเหมือนกันค่ะ”
“ไม่เอาน่า! พวกเราเป็นสาวน้อยม.ต้น วัยแรกแย้มนะ! เสียสุขภาพนิดหน่อยไม่ถึงตายหรอกน่า! ไปร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารครอบครัวตอนดึกๆ หรือไม่ก็ไปเที่ยวที่คลับแล้วหลบหนีจากการโดนจับอะไรแบบนั้นน่ะ! อยากได้ชีวิตวัยรุ่นแบบนั้นอะ!”
“แถวนี้ไม่มีร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหารครอบครัวนะคะ ยิ่งคลับนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย”
เธอตอบกลับอย่างมีเหตุผลด้วยเสียงเรียบ
“รู้น่า…. แต่วันนี้เรามีอุเอซาโตะจังอยู่ด้วยนะ นานๆ ทีจะมีสักหนนึง ฉันเลยยังไม่อยากนอนตอนนี้ เอาล่ะไปห้องเธอกันเต๊อะ!”
“หะ ตอนนี้เลยเหรอคะ…?”
เห็นจากสีหน้าบอกบุญไม่รับแล้ว ฮานะโมโตะจังคงยังสะลึมสะลืออยู่ แต่เหมือนว่าเธอจะตามฉันมาด้วย ฉันล่ะรักส่วนนี้ของเธอจริงๆ ฮานะโมโตะจัง
แล้วเราก็มาถึงห้องของอุเอซาโตะจัง
ตามปกติเธอพักอยู่ปราสาทมารุกาเมะ พอมาที่ไทชะเลยได้อยู่ห้องพักแขก เลยได้ใช้ห้องคนเดียวไม่มีรูมเมท
เมื่อเรามาถึง อุเอซาโตะจังรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องพูดอะไร เธอส่งยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เก็บไว้เป็นความลับจากพวกคุณนักบวชนะคะ” ก่อนเชิญเราเข้าห้อง ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความใจกว้างเหลือคณานับ แม้เธอจะอายุน้อยกว่า แต่ในด้านจิตใจนั้นฉันเทียบไม่ติด
“แต่ว่าทั้งที่มีคนมาหาแท้ๆ แต่กลับไม่ได้เตรียมอะไรไว้ต้อนรับเลย… ไม่มีเกมหรืออะไรที่เล่นได้ด้วย….”
อุเอซาโตะจังพูดราวกับสำนึกผิด
“ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ เป็นความผิดของรุ่นพี่อากิที่ปุ๊บปั๊บออกมาในเวลาแบบนี้”
“เฮะ เฮะ เฮะ อย่าได้ดูถูกรุ่นพี่ม.3 คนนี้เชียวนะทั้งสองคน ฉันพกของที่เล่นด้วยกันได้มาด้วย! แต่นแต้น! การ์ดไพ่นกกระจอก!”
ฉันนำกล่องสำรับการ์ดที่ใหญ่กว่าปกติชูขึ้น
ขออธิบายสักเล็กน้อย! การ์ดไพ่นกกระจอกเป็นของเล่นสำหรับเล่นไพ่นกกระจอกราวกับเล่นการ์ดเกม โดยการ์ดแต่ละใบจะมีลวดลายเหมือนกับไพ่นกกระจอก แม้จะไม่ได้อารมณ์ตอนที่กระเบื่องกระทบกัน แต่แลกมากับความสะดวกในการพกพาไปได้ทุกที่
“อา ถ้าเป็นไพ่นกกระจอกล่ะก็ขอผ่านค่ะ” ฮานะโมโตะจังตอบในทันที
“หนูด้วยค่ะ…” อุเอซาโตะจังตอบด้วยท่าทางเกรงใจ
“เอ๋!? มาเล่นไพ่นกกระจอกกันเถอะน่า! ไม่ได้บอกว่าจะเล่นกันจนโต้รุ่งสักหน่อย!”
“รุ่นพี่อากิ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะคะที่ชวนแล้วฉันปฏิเสธ… ฉันไม่รู้กฏของไพ่นกกระจอกค่ะ และรุ่นพี่เป็นเด็กม.ต้น คนเดียวที่เล่นไพ่นกกระจอกเป็น เพราะที่บ้านรุ่นพี่เปิดร้านไพ่นกกระจอกนี่คะ”
“ได้ๆ เดี๋ยวฉันสอนเธอเองนะ! เดี๋ยวสอนให้นะ นะ!”
ฮานะโมโตะจังเย็นชาที่สุด เย็นไปจนถึงกระดูก ยัยน้ำแข็งใสเอ้ย
ก่อนที่จะมาอยู่ไทชะ ฉันเล่นไพ่นกกระจอกกับพวกผู้ใหญ่ในร้านไพ่นกกระจอกของพ่อบ่อยมาก แต่ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครเล่นไพ่นกกระจอกเป็นเพื่อนฉันเลย
“เรื่องไพ่นกกระจอกเอาไว้ทีหลังก็ได้ค่ะ อย่างน้อยตอนนี้เราน่าจะต้องมีเครื่องดื่มกับของหวานก่อนนะคะ”
อุเอซาโตะจังพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
“งั้นไปเอามาสักหน่อยละกัน” ฉันยิ้ม “ห้องครัวในโรงอาหารมีทั้งเครื่องดื่มทั้งของกิน แถมน่าจะมีของหวานด้วยนะ”
แต่โรงอาหารค่อนข้างไกลจากห้องนี้
และถ้าโดนเจ้าหน้าที่ตรวจตราของไทชะเจอเข้าล่ะก็จะต้องเป็นเรื่องแน่
“ฉันอยู่นี่มาตั้งสามปีแล้วนา เจ้าหน้าที่เดินไปทางไหนเมื่อไหร่นี่รู้หมด พวกเราต้องทำได้!”
มิสชั่นสตาร์ท
ภารกิจนี้สนุกใช้ได้เลย
เราสามคนแอบย่องออกจากห้องของอุเอซาโตะจัง เพราะใช้ไฟฉายกับไฟสมาร์ทไม่ได้เลยต้องเดินในที่มืดโดยไม่ให้เกิดเสียงเท่าที่ทำได้ เมื่อมาถึงมุมทางเดิน ฉันแอบชะเง้อจากหลังกำแพงแบบเนียนๆ ดูว่ามีใครเดินอยู่ตรงทางเดินข้างหน้าหรือเปล่า เราไม่สามารถสื่อสารด้วยคำพูดได้ ฉันเลยส่งสัญญาณมือ OK ให้อุเอซาโตะจังกับฮานะโมโตะจัง แล้วเดินหน้ากันต่อ
ในที่สุดก็มาถึงห้องครัว
เราหยิบขวดน้ำชาบาร์เลย์มาหนึ่งขวดจากตู้เย็นกับแก้วกระดาษสามใบ
อุเอซาโตะจังที่เห็นนม ไข่ และขนมปังทักขึ้น “แค่เครื่องดื่มอย่างเดียวคงไม่พอนะคะ” แล้วจัดการทำเฟรนช์โทสต์อย่างชำนาน เธอบอกจะได้มีของหวานที่กินง่าย และไม่ต้องใช้เวลามากในการทำ หลังจากนั้นเธอก็ทำความสะอาดเครื่องครัวอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดทั้งมวลนี่ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ
เป็นทักษะที่สุดยอดไร้ที่ติ อุเอซาโตะจังต้องเป็นภรรยาที่ดีได้แน่ แต่ถ้าคิดจะขอเธอแต่งงานล่ะก็ ต้องผ่านกำแพงสูงใหญ่ไร้เทียมทานอย่างโนกิ วาคาบะ ผู้แข็งแกร่งที่สุดในชิโกกุให้ได้ก่อน
แต่ระหว่างทางกลับดันโดนเจอเข้าซะได้ เราจ๊ะเข้ากับอาจารย์คาราสุมะตรงทางเดิน นี่ไม่ใช่กะตรวจตราของอาจารย์ เพราะงั้นเธออาจจะเดินไปห้องน้ำก็ได้ อาจารย์คาราสุมะไม่พูดอะไร ฉันเผลอไปสบตาเข้า ต้องโดนรู้แน่ๆ ว่าเป็นพวกเรา แต่อาจารย์กลับหาวอย่างเบื่อๆ แล้วเดินจากไปเหมือนไม่เห็นอะไร ไม่เตือนสักหน่อยเหรอ? ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นอาจาย์?
พอกลับมาถึงห้อง พวกเราก็ดื่มชาบาร์เลย์พร้อมกับกินเฟรนช์โทสต์ไปด้วย แล้วพูดคุยอะไรหลายๆ อย่างกันตามประสาสาวน้อย
ฮานะโมโตะจังมักจะถามอุเอซาโตะจังตลอดว่า “ช่วงนี้ท่านโคโอริเป็นยังไงบ้างคะ?” ทั้งเรื่องสุขภาพ ผลการต่อสู้ เกมที่เล่น และอีกมากมาย…
“ฮานะโมโตะจังเนี่ย รักโคโอริจังจริงๆ นะ”
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะ ก็เขาเป็นผู้กล้าของฉันนี่คะ”
ฮานะโมโตะจังมักจะจดว่าโคโอริจังเล่นเกมอะไรจากอุเอซาโตะจัง ความจริงแล้วเธอพยายามเล่นเกมให้มากเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะมีหัวเรื่องไว้คุยกับโคโอริจังถ้าได้เจอกัน
แต่จะได้เจอกับโคโอริจังบ่อยแค่ไหนกันนะ? มิโกะที่อยู่ในพื่นที่ของไทชะ กับผู้กล้าที่อยู่ปราสาทมารุกาเมะไม่เคยได้มีช่วงไหนในแต่ละวันที่มีโอกาสได้เจอกันเลย ที่ฉันได้เจอทามาโกะกับอันสึจังก็ประมาณสองครั้งต่อปีได้
ฮานะโมโตะจังเป็นคนที่เจอกับโคโอริจังตอนที่ได้รับพลังผู้กล้า ดังนั้นอย่างน้อยทั้งสองก็เคยเจอกันแล้วครั้งนึง แล้วหลังจากนั้นล่ะ? เราสองคนอยู่ที่ไทชะมากว่าสามปีแล้ว แต่ไม่เคยได้ยินว่าฮานะโมโตะจังได้เจอกับโคโอริจังเลย
ช่างเถอะ ไม่ใช่เรื่องของฉันอยู่แล้ว
“อ่อ ใช่ อุเอซาโตะจังเป็นห่วงที่ผู้กล้าจะไปสำรวจนอกกำแพงหรือเปล่า? ทั้งโนกิจังกับคนอื่นๆ”
“นั่นสินะคะ หนูเชื่อใจพวกเขา แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี เพราะแบบนั้นหนูเลยจะไปกับพวกเขาด้วย”
“เอ๋!? อุเอซาโตะจังจะไปด้วยเหรอ!? มันอันตรายนะ!”
อุเอซาโตะจังเป็นมิโกะไม่ใช่ผู้กล้า เธอไม่มีพลังในการต่อสู้ ไม่ดีแน่หากเจอเวอร์เท็กซ์
“มีความเป็นไปได้ที่จะมีคำพยากรณ์จากท่านชินจูมาระหว่างการสำรวจค่ะ เลยจำเป็นที่จะต้องมีมิโกะไปด้วย ดังนั้นหนูเลยเสนอตัวเองไปค่ะ อีกอย่าง… การเอาแต่รออยู่ที่นี่มันลำบากยิ่งกว่า”
“…”
พูดไม่ออกเลย
ไม่กี่วันหลักจากนั้น ฉันได้ยินว่าพวกผู้กล้ากับอุเอซาโตะจังได้ออกไปนอกกำแพงเรียบร้อยแล้ว
จากวันนั้นเวลาหลังเลิกเรียนฉันมักจะปีนขึ้นไปบนยอดเขาเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ไทชะ
วันต่อมาก็ด้วย
วันต่อๆ มาก็เช่นกัน
ฉันมองเห็นทะเลได้จากตรงนี้ อีกฝั่งของทะเลที่ล้อมรอบชิโกกุมีกำแพงที่เหมือนทำจากรากไม้ตั้งอยู่ กำแพงนั้นเป็นเขตแดนที่ปกป้องภายในชิโกกุจากภายนอก
ไม่มีทางที่เด็กคนนั้นจะไม่กลัว ต่อให้มีโนกิจังอยู่ด้วยก็เถอะ
ฉันหลับตาลง
แม้ผ่านมาสามปีครึ่งแล้ว ความทรงจำที่ได้เจอกับเวอร์เท็กซ์ครั้งแรกยังคงชัดเจน
สัตว์ประหลาดสีขาวน่าสยดสยองโผล่ลงมาทั่วญี่ปุ่น ตรงหน้าฉันก็ด้วย ความตายได้เยื้องย่างเข้ามาที่ตรงนั้น ความตายที่พร้อมจะกลื่นกินฉันเข้าไป
หลังจากวันนั้นฉันไม่เห็นเวอร์เท็กซ์อีกเลย แต่ถ้ามีสักตัวโผล่มาตรงหน้าอีกครั้ง ฉันคงได้แต่ยืนตัวแข็งร้องไห้ทั้งๆ อย่างนั้น แม้จะผ่านมาสามปีครึ่งแล้ว แม้จะมีผู้กล้าสองคนอย่างทามาโกะ กับอันสึจังเป็นเพื่อน ฉันก็ยังกลัวเวอร์เท็กซ์อยู่ดี
“แฮ่ก แฮ่ก… อยู่นี่เองสินะคะ”
ฉันหันไปตามเสียงของฮานะโมโตะจัง หายใจหอบขนาดนั้นคงเหนื่อยจากการปีนเขา
ฮานะโมโตะจังพักหายใจ แล้วจัดแว่นที่ไหลลงมาถึงจมูกให้เข้าที และถาม “มาทำอะไรที่นี่กันคะ?”
“อืม ก็ไม่มีอะไรหรอก… แค่อยากออกมาดูทะเลน่ะ”
“รุ่นพี่เป็นห่วงท่านโดอิกับท่านอิโยจิม่าสินะคะ? รุ่นพี่อากิบอกว่าฉันคิดมากเกินไป แต่ตัวเองกลับเป็นห่วงซะยิ่งกว่า รุ่นพี่อากิรู้ไหมคะ? คนแบบรุ่นพี่เขาเรียกว่า [ซึนเดเระ]”
“มะ-ไม่ใช่นะ! ฉันไม่ได้เป็นห่วง…”
ฉันพยายามปฏิเสธ แต่ก็ได้เท่านั้น
“ถูกของเธอ ฉันเป็นห่วง เอามากๆ เลย…”
“เห็นไหมล่ะคะ ยอมรับมาแต่แรกก็จบแล้วค่ะ”
“ดะ-ดะ-เดี๋ยวสิ! ไหงฉันกลายเป็นคนโดนสอนซะเองล่ะ”
“ก็รุ่นพี่ชอบวางท่าใหญ่โตอย่างไร้ความหมายนี่คะ”
เอิม…
ฉันถอนหายใจแล้วนั่งลงกับพื้นเงยหน้ามองท้องฟ้า ไม่สนว่าจะทำกระโปงเปื้อนเศษดิน
“นี่ ฮานะโมโตะจังอยากจะอยู่เคียงข้างผู้กล้าเหมือนอุเอซาโตะจังหรือเปล่า?”
“ก็… ไม่รู้สินะคะ”
เธอตอบแล้วมองขึ้นฟ้าเหมือนกัน
“ฉันมีน้องชายคนนึง เขาเป็นโรคกลัวท้องฟ้า”
คนกลุ่มหนึ่งที่ถูกโจมตีโดยเวอร์เท็กซ์ป่วยเป็น PTSD(Post-traumatic stress disorder) ส่วนใหญ่หวาดกลัวท้องฟ้าแบบสุดขีด เพราะเป็นที่ที่เวอร์เท็กซ์มา คนที่มีอาการหนักมากๆ ไม่สามารถออกนอกอาคารหรือเดินอยู่ใต้ฟ้าโล่งๆ ได้เลย บ้างกลายเป็นบ้าระดับตกอยู่ในภาพหลอนแห่งฝันร้าย จากอาการแล้วค่อนข้างต่างจาก PTSD ทั่วไป โดยปกติจะเรียกอาการนี้ว่าอูราโนโฟเบีย(Uranophobia) —- อีกชื่อนึงที่ถูกตั้งขึ้นคือ [โรคกลัวท้องฟ้า]
“อาการของเขาค่อนข้างหนักพอตัวเลยล่ะ เลยต้องอยู่โรงพยายาลไม่ได้ออกไปไหน ความจริงแล้วในฐานะพี่สาวฉันควรจะอยู่กับเขา แต่ต้องมาติดอยู่ในไทชะนี่ แทบจะไม่ได้เจอหน้าเขาเลย…”
“มันช่วยไม่ได้หรอกค่ะ ก็รุ่นพี่เป็นมิโกะของไทชะนี่นะ แต่ว่ารุ่นพี่อากิคะ เพราะรุ่นพี่เป็นมิโกะไม่ใช่เหรอคะ น้องชายของรุ่นพี่เลยได้รับการรักษาที่ดีกว่าคนทั่วไป?”
เป็นเด็กที่ฉลาดจริงๆ เลยนะ อย่างที่ฮานะโมโตะจังพูด ที่นี่มีคนป่วยเป็นโรคกลัวท้องฟ้ามากเกินไป เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาได้ทั้งหมด ถ้ามีใครสักคนในครอบครัวเป็นมิโกะของไทชะ คนป่วยคนนั้นจะได้รับการดูแลเป็นพิเศษกว่าคนทั่วไป ฉันเลยยอมเข้ามาอยู่ที่นี่
ไม่อยากจะคิดในแง่ลบหรอก แต่ฉันควรพยายามไปหาน้องให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะสักวันนึง…. เราอาจไม่ได้เจอกันอีก
“ทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ” ฮานะโมโตะจังพูดเสียงนิ่ง “รุ่นพี่อากิทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ต่อให้อยู่กับน้องชาย รุ่นพี่ก็รักษาโรคกลัวท้องฟ้าให้เขาไม่ได้ ต่อให้อยู่กับผู้กล้าก็เท่านั้น เพราะพลังมิโกะของรุ่นพี่สู้คุณอุเอซาโตะไม่ได้”
“…อาฮะฮะ ใจร้ายจังเลยนะ”
“มันคือความจริงค่ะรุ่นพี่อากิ รุ่นพี่ควรอยู่ที่ไทชะนี่ และทำในสิ่งที่สามารถทำได้ แบบนี้มันจะดีกว่ากับทั้งน้องชายของรุ่นพี่เองทั้งผู้กล้าด้วย รุ่นพี่คะ สิ่งที่รุ่นพี่ทำอยู่ตอนนี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลดีที่สุดแล้วค่ะ”
“…”
ถึงจะแรงไปหน่อย แต่ว่า…
นี่คงเป็นวิธีให้กำลังใจของเธอสินะ
“…ที่ฮานะโมโตะจังพูดเนี่ย หมายความว่าฉันควรจะอยู่ที่ไทชะสินะ? อยากให้รุ่นพี่คนนี้อยู่ด้วยขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่ค่ะ”
“เอ๋ ใช่เหรอ? แต่เธอเป็นคนบอกเองว่าอยากให้ฉันอยู่ที่นี่ใช่ม้า? ฮานะโมโตะจังต้องชอบฉันแน่ๆ”
“ถ้ายังไม่หยุดพูดอะไรไร้สาระอีกล่ะก็ ฉันจะต่อยรุ่นพี่นะคะ”
“โหดร้ายที่สุด”
แต่ก็นะ…
ถูกของเธอ ฉันไม่ใช่จิตแพทย์ที่จะรักษาน้องชายของตัวเองได้ ฉันไม่ได้มีพลังมิโกะสูงเท่าอุเอซาโตะจัง ยิ่งกว่านั้นพลังใจเองก็สู้ไม่ได้ด้วย เพราะงั้นคงเป็นประโยชน์ให้พวกผู้กล้าไม่ได้ ฉันกลัวเวอร์เท็กซ์เกินกว่าที่จะตามผู้กล้าออกไปสำรวจข้างนอกกำแพง
“ก้าวเกินเขตไปเพียงก้าวเดียว จะเจ็บตัวยิ่งกว่าความหนาวเหน็บใดๆ” ฮานะโมโตะจังพูดงึมงัม
“หมายความว่าไงเหรอ?”
“หมายความว่าให้ความสำคัญกับงานและรู้หน้าที่ของตัวเอง หากทำมากกว่านั้นจะเจ็บตัวเสียเอง”
อย่างงั้นเหรอ?
คงเป็นอย่างงั้นแหละ
ฉันมองขึ้นไปบนฟ้า
ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลทั้งล้ำลึกและสวยงาม คงไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีสัตว์ประหลาดที่เข้าทำลายมนุษย์จะลงมาจากบนนั้น ก่อนที่เรื่องจะเกิดขึ้น ท้องฟ้าเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภและความหวังของมนุษย์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสัญลักษณ์ของลางร้ายและความเกลียดชัง แต่มันไม่ได้สวยงามน้อยลงกว่าเมื่อก่อนเลย
“เฮ้อ ทำไมถึงเกิดมาในเวลาแย่ๆ แบบนี้นะ?”
ถ้าเกิดมาในช่วงเวลาปกติ ฉันคงชื่นชมท้องฟ้านี้ได้จากใจจริง
คงได้ร้องเพลงสรรเสริญชีวิตวัยม.ต้น อย่างที่ควรจะเป็น
และไม่ใช่แค่ฉัน ทามาโกะกับอันสึจังก็ด้วย…
“ฉันดีใจได้เกิดมาในช่วงเวลานี้” ฮานะโมโตะจังพูดมาขึ้นอย่างไม่ลังเล แถมเสียงฟังดูมีชีวิตชีวา
“เพราะได้เกิดในช่วงเวลานี้ ฉันถึงได้พบกับท่านโคโอริ”
ผู้กล้ากลับชิโกกุในวันต่อมา
ทั้งพวกผู้กล้ากับอุเอซาโตะจังกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่มีใครบาดเจ็บ
ฉันกับฮานะโมโตะจังคุยกันระหว่างกินข้าวเที่ยง
“พวกอุเอซาโตะจังกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้อีกนะ”
“นั่นสินะคะ…” ฮานะโมโตะจังตอบด้วยความสงสัย “ถึงผู้กล้าจะเคลื่อนที่ได้เร็ว แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางทั่วญี่ปุ่นในเวลาสั้นๆ แค่นี้…”
เราไม่รู้เส้นทางแน่ชัด แต่พวกนั้นคงต้องผ่านเมืองใหญ่อย่างโอซาก้า นาโกย่า และโตเกียว รวมถึงภูมิภาคที่เป็นไปได้ว่าจะมีผู้รอดชีวิตอยู่อย่าง สุวะ โทวโฮคุ และฮอกไกโดก็ด้วย
ไม่มีทางเลยที่จะไปสำรวจได้ขนาดนั้นในเวลาเพียงแค่สามวัน
“พวกนั้นต้องหยุดกลางคันน่ะ เพราะอุเอซาโตะได้คำพยากรณ์จากท่านชินจู ว่าจะเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ที่ชิโกกุเลยต้องรีบกลับมาก่อน”
คำตอบมาจากอาจารย์คารสุมะที่บังเอิญนั่งกินข้าวอยู่แถวนี้พอดี
“เอ๋? แต่พวกเราไม่เห็นได้รับคำพยากรณ์อะไรเลยนี่นา…”
“ใช่ ไม่มีมิโกะในไทชะคนไหนได้รับคำพยากรณ์นั่น แต่อุเอซาโตะเป็นที่รักของชินจู ไม่แปลกที่เธอจะเป็นคนเดียวที่ได้รับสารนั้น”
สมกับเป็นอุเอซาโตะจัง แต่ [วิกฤตครั้งใหญ่ที่ชิโกกุ] มันหมายความว่าไงกันนะ?
“ระหว่างนี้ไทชะพยายามคาดการณ์ความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้น และกำลังวิเคราห์ตัวอย่างที่ผู้กล้านำกลับมาจากการเดินทาง ก็นะฉันไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำอะไร แต่แค่พยายามทำในสิ่งที่สามารถทำได้ก็พอแล้ว”
พอพูดเสร็จอาจารย์คาราสุมะก็กินอาหารหมดแล้ว เธอเก็บจานแล้วลุกจากโต๊ะ
“ผู้ใหญ่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ”
ฉันพูดกับตัวเองมองดูหลังอาจารย์คาราสุมะที่เดินจากไป
มิโกะรับใช้และรับคำพยากรณ์จากท่านชินจู นั่นคืองานของเรา แต่นอกจากนั้นพวกเราเป็นเพียงแค่เด็กที่ยังไม่รู้อะไรเลย ทั้งการวิจัยและแผนการโต้ตอบ —- ทั้งหมดทำโดยไทชะ
“ผ่านมาสามปีกว่าแล้วตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่ไทชะ” ฮานะโมโตะจังพูดด้วยความไม่พอใจ “แต่ยังไม่เห็นเข้าใจเลยว่าองค์กรนี้มันคืออะไรกันแน่ ในมุมมองของฉัน นี่เป็นองค์กรที่ไม่เป็นรูปเป็นร่างที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติมนุษย์แล้ว”
บันทึกประวัติศาสตร์ไร้มูลเหตุของผู้กล้า บทที่ 1 ตอนที่ 1 จบ