[นิยายแปล]ครูผู้กล้า - ตอนที่ 15
Ch.15 – 「การปรนนิบัติของภรรยาเมดและคาบเรียนแรก」
Provider : จอมมารงอล
Chapter 15 – การปรนนิบัติของภรรยาเมดและคาบเรียนแรก
「จะกลับบ้านนแล้ว ไม่เอาแล้ววว…」
「ทะท่านลูซิเฟอรคะ ได้โปรดอย่าด่วนตัดสินใจไปเลยค่ะ」
ขณะที่เอาใบหน้ากดลงไปยังเนินอกอันนุ่มนิ่มของเรนะ ผมเองก็ยังหดหู่ไม่หาย
「ลูมิเอลกำลังรอผมอยู่…ผมควรไปซื้อของฝากที่ระลึกให้เธอบ้างง…..อย่างน้อยก็คิดว่าเธอคงจะดีใจ แต่ว่าคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรเลยเรนะมีความเห็นว่าไงเหรอ?」
「ท่านลูซิเฟอร์คำพูดของท่านนี่หมดอาลัยตายอยากมากค่ะ อย่าหดหู่เกินไปสิคะ….」
เรนะยังคงพยายามปลอบใจผมลูบหัวผมเบาๆแล้วก็ให้ผมหนุนตัก
「…มีคนที่เก่งและมีความสามารถมากมายในประเทศนี้…แต่ว่าไม่มีใครคิดว่าปีศาจเป็นภัยคุกคามเลยอ่า」
「ก็เพราะว่าตลอดช่วงเวลา 500 ปีที่ผ่านมานี้พวกเราไม่ได้มี สงครามใหญ่ๆ อะไรเลยนั่นเลยทำให้เราดูไม่เป็นภัยคุกคามอะไรเลยค่ะ สำหรับท่านลูซิเฟอร์อาจจะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่สำหรับมนุษย์แล้วมันไม่มีพิษภัยอะไรเลยค่ะ」
เรนะยังพูดต่อพร้อมกับปลอบใจผมไปเรื่อยๆ
「ก่อนหน้านั้นเอง ดิฉันเองก็เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องฑูตไปแล้ว แต่ว่าตอนนั้นมันไม่ควรพูดก็เลยไม่ได้บอกไปนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจักรวรรดิถึงไม่ได้โดนพวกเราตรวจสอบสักที ถ้าทำแบบนั้นก็คงไม่มีปัญหาคาใจให้กับท่านลูซิเฟอร์หรอกใช่ไหมค่ะ?」
「ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับประเทศอื่นๆแล้ว มีหลายๆคนเองก็ไม่พอใจกับประเทศของเราเหมือนกัน ทั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ทางเหนือด้วยนะ ในเวลานั้นถ้าพวกเราไปมาบุกจักรวรรดิเองพวกนั้นก็คงมาช่วยด้วยเช่นกัน นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมนิ่งเฉยไงละ」
「ถึงแม้ว่านี่ไม่ใช่ฐานะที่ดิฉันควรจะถามก็เถอะคะ แต่ถ้าพวกเราใช้พลังทั้งหมดของเทเลเบลย์แล้วก็จะไม่มีศัตรูคนไหนที่เราเอาชนะไม่ได้หรอกคะ แม้ประเทศอื่นๆจะสุมหัวกันก็เถอะ」
ผมก็คิดแบบนั้นได้สักพักแล้ว
สิ่งที่เรนะพูดนั้นถูกต้อง แม้แต่ในหมู่ปีศาจเองก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน แต่ถ้างั้นก็ต้องมาประชุมกับผมที่เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของประเทศเทเลเบลย์ แล้วก็พวกเหล่ามาจัดการกับ ราชวงศ์ปีศาจ เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็เสียไปกับเรื่องนั้นแหละ
「ในหมู่ราชวงศ์ก็ทำตัวมีปัญหาสร้างภาระให้พวกเราอยู่แล้ว ผมไม่อยากไปทำอะไรที่มันเสียเวลาแบบนั้นหรอก นับประสาอะไรกับการไปบุกจักรวรรดิ แค่ปัญหาในประเทศยังวุ่นวายเลย แล้วยิ่งไปหาเรื่องประเทศอื่นๆในตอนนี้นั้นมันค่อนข้างเป็นอะไรที่บัดซบสุดๆ」
「ครึ่งหนึ่งของประเทศนั้นก็เป็นของเราแล้ว ประเทศที่อยู่ทางตะวันตกของเทเลเบลย์เองก็ถูกลูซิเฟอร์ยึดไปใช่ไหมล่ะ?」
「ค่ะ ท่านลูซิเฟอร์ เรื่องราวนั้นก็ผ่านมา 1,500 ปี มาแล้วนะคะ.」
「อืมมมใช่แล้ว แม้ว่าผมจะไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เพราะว่าไม่มีใครถาม แต่นี่เป็นเวลาที่ดีแล้วว่าทำไมผมถึงฆ่าลูซิเฟอร์คนก่อน」
นึกย้อนกลับไปแล้ว ช่วงเวลานั้นมีแต่ความบ้าคลั่งและการนองเลือด แนวโน้มของสงครามไม่มีทีท่าว่าจะจบลง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอต่างก็ต้องต่อสู้กัน ปล้นสะดม ทั้งยังมีภัยคุกคามมากมาย ทุกๆอย่างถูกจัดการไม่มีความปราณี บางครั้งก็อดไม่พอใจไม่ได้ที่ต้องเห็นเหล่าเพื่อนๆถูกสังหารไปทีละคนๆ ชีวิตที่คิดจะใช้แบบเสียเปล่ามันก็ต้องสลัดมันทิ้งไป กัดฟันลุกขึ้นสู้กับเผด็จการจนในที่สุดก็จัดการได้สำเร็จ
「เขาคนนั้นพยายามจะยึดทวีปทั้งหมดเป็นของตัวเองและไม่ใช่ว่าพวกเราขาดพลังที่จะทำเช่นนั้น แต่ว่าการนองเลือดมันมากเกินไป ผมที่ทนไม่ได้จึงได้สังหารลูซิเฟอร์คนก่อน」
「แต่ว่าทำไมละคะ?แบบนั้นก็ทำให้ประเทศของเผ่าปีศาจรุ่งโรจน์ไม่ใช่เหรอครับ?」
「เป้าหมายดั้งเดิมของคนๆนั้นคือยึดครองโลกอย่างไรก็ตามสิ่งนั้นแหละจะพาไปสู่จุดเริ่มต้นของจุดจบ」
ผมอธิบายแบบขาดช่วงไปเพราะเรนะที่กำลังสับสน
「คนที่มีอำนาจล้นมือมักจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เสมอ การทำร้ายผู้อื่นนั้นเป็นเพียงการสนองตัณหา แถมยังไล่ล่าราวกับเห็นผู้คนนั้นเป็นของเล่น พลังที่ไม่สามารถควบคุมได้ทำให้ตัวเขานั้นลืมจุดประสงค์เดิมไป หากทำเช่นนั้นต่อไปเรื่อยๆพื้นที่ล่าของหมาป่าผู้หิวโหยตัวนี้ก็จะหมดไป แต่ในที่สุดแล้วหากไม่เหลือใครให้ล่าสุดท้ายก็จะกลายเป็นการล่าพี่น้องของตัวเอง จนสุดท้ายก็กลายเป็นหมาป่าเดียวดายผู้บ้าคลั่ง」
「…!」
「ลูซิเฟอร์คนก่อนก็เป็นเช่นนั้นไม่ได้เข้าใจถึงสิ่งนั้น ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ผมต้องฆ่าเขาและยกตัวเองขึ้นเป็นราชาเพื่อหยุดยั้งเหล่าปีศาจที่กำลังได้ใจและระเริงใจไปกับการกระทำอันบ้าคลั่งนั่น」
「ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ไม่เห็นด้วยกับวิธีการก่อนหน้านั้นและยังคงเข่นฆ่ากันต่อไป…ดิฉันรับรองได้ว่าจะไม่มีประเทศเทเลเบลย์อย่างทุกวันนี้」
แรงกระตุ้นของปีศาจในยุคนั้นคือการทำลายล้าง ทุกคนต่างโหยหาสงครามและเลือดเนื้อ แรงกระตุ้นนั้นไม่สามารถหยุดได้หากไม่หยุดต้นเหตุของความบ้าคลั่งนั่น
ปีศาจในตอนนั้นไร้ซึ่งสติ มืดมัวหมองและอธิบายได้ว่าเป็นดั่งพวกปีศาจพวกบ้าคลั่งซึ่งมีแรงกระตุ้นในการทำลายล้างมากกว่าปีศาจทั่วๆไป
「ในที่สุดแล้วอำนาจที่ล้นมือนั่นก็จะย้อนมาทำร้ายตัวเองสินะ เข้าใจล่ะคะ」
「ใช่แล้ว…บางครั้งพวกเราเผ่าปีศาจต่างก็ไม่สามารถควบคุมพลังที่ตัวเองมีอยู่ได้ ในเวลานั้นเสาหลักทั้งเจ็ดของราชวงศ์ปีศาจ(7บาป) อยู่ในสภาพแบบนั้นเลย…ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นแม้ว่าผมจะเป็นพวกชั้นต่ำ(ไม่ใช่ขุนนาง) แต่ก็มีพลังมากกว่าคนรุ่นก่อน」
ยังพอจำได้เป็นครั้งคราวที่ต้องสังหารเหล่าบรรดาพี่น้องของตัวเอง โดยธรรมชาติแล้วศัตรูส่วนใหญ่มักเป็นพวกหัวโบราณ รวมถึงพวกเสาหลักคนอื่นๆและลูกน้องของพวกนั้น…ทั้งหมดนั่นที่ต่อต้านโดนผมบดขยี้ แม้ว่าบางส่วนอาจจะเป็นเพราะความเติมเต็มความต้องการส่วนตัว แต่ก็ยังต้องทำเพราะยังมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบก็คือการดูแลประเทศ
คนที่รอดชีวิตมีเพียงแค่เหล่าเสาหลักเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วถูกสังหารทั้งหมดเพราะการต่อต้าน
แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ของเราก็ตาม…
แค่ย้อนคิดกลับไปเล็กน้อยก็ทำให้ท้องไส้ปั่นป่วนแถมยังชวนคลื่นไส้อีกต่างหาก
「…ดูเหมือนจะคุยจริงจังมากเกินไปหน่อย เริ่มเบื่อแล้วแหะ.」
「ต้องขอโทษอย่างยิ่งเลยค่ะท่านลูซิเฟอร์ ดูเหมือนว่าดิฉันจะล้ำเส้นเกินไปแล้วคะ.」
「ไม่เป็นไรหรอกน่าเรนะ อย่างไรก็ตามได้โปรดลูบหัวผมที ลูบอีกเยอะๆ.」
「ค่ะ นายท่าน」
ผมก้มตัวลงนอนไปบนเตียงพร้อมกับเรนะและราวกับว่าผมกำลังจมอยู่ในห้วงของนิทราผมจึงไม่ได้ขัดขืนอะไรมากเป็นพิเศษถ้าเธอ
… ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในจักรวรรดิอีกแล้ว ควรจะทำยังไงดีนะ…
อืมม จะยังไงก็ช่างเถอะ เรื่องนั้นก็ปล่อยไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ ไว้ค่อยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้ที่หลัง
วัดถัดมา
ผมเข้ารับฟังการบรรยายวิชาเวทมนตร์ในตอนเช้าและกำลังรอเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ จ้องออกไปนอกหน้าต่าง อาจารย์นั้นสอนเวทย์พื้นฐานเป็นสิ่งที่แม้แต่เด็กมนุษย์ก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆดังนั้นเลยไม่ได้สนใจอะไรมาก
โกเอ็นจุทสึ คือ ไฟ ชินซุย จุทสึ คือ น้ำ ไรโกว จุทสึ คือ สายฟ้า โดว์ริว จุทสึ คือ ดิน และฟูจิน จุทสึ คือลม ทั้งหมดนี่ต่างคือห้าธาตุพื้นฐานของเหล่าเวทมนตร์ทั้งหลาย
จากนั้นก็เวทย์แบบพิเศษ ชินเซย์ จุทสึ ซึ่งเป็นเวทย์ธาตุศักดิ์สิทธิ์ และ ไคเมย์ จุทสึ ที่เป็นเวทย์ความมืด ถ้ารวมเหล่านี้แล้วบรรดาธาตุทั้งหมดแล้วก็ประกอบด้วย 7 ธาตุพื้นฐาน ยังไงก็ตามมันก็มีข้อยกเว้น
อย่างไรก็ตามสำหรับเรื่องนี้รู้ไปก็ไม่มีอะไรน่าภูมิใจนักหรอก อย่างน้อยถ้าอยากเข้าโรงเรียนนี้ก็ต้องรู้เรื่องแบบนี้เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ผมกล้าพนันได้เลยว่าแม้แต่พวกเหล่าครึ่งสัตว์เองก็คงจะรู้เรื่องแบบนี้เช่นกัน
「..ดอร์! ทีโอดอร์! นี่ ได้ฟังรึเปล่าเนี่ย?!」
「อะไรครับ?」
อาจารย์ผู้ชายที่มีรูปร่างสูงใหญ่เรียกผมด้วยเหตุผลบางอย่าง
「อย่ามาตอบคำถามด้วยคำถามสิฟะ?! ข้าถามว่าแกรู้มั้ยว่าวงเวทย์นี้มันคืออะไร!」
ขณะที่มองไปยังกระดานดำสามารถบอกได้เลยว่ามันเป็นองค์ประกอบของเวทย์สายฟ้า
ยังไงก็ตามตัวอักษรที่สลักอยู่ภายในวงเวทย์นั้นดันเกี่ยวกับเวทย์ไฟ เพราะเหตุนั้นวงเวทย์นี้ใช้งานไม่ได้
ดังนั้น ผมเลยพูดออกไป
「ใครกันที่มันวาดวงเวทย์ได้ห่วยแตกขนาดนี้ครับเนี่ย?」
「ว่าไงนะ…?!」
อ้อเข้าใจละ อาจารย์วาดสินะ เผลอหลุดพูดสิ่งในใจเกินไปหน่อย
「ก็มันไม่มีสูตรเวทย์ในวงเวทย์เลยนะสิ」
「งั้นเหรอ ถ้างั้นอธิบายได้ไหมว่าทำไม?」
「แม้ว่าจะใช้องค์ประกอบของธาตุสายฟ้า แต่ตัวอักษรที่สลักอยู่บนวงเวทย์นั้นดันเป็นเวทย์ไฟน่ะสิ.」
「ฟุฟุฟุ…」
อาจารย์คนนั้นมีรอยยิ้มร้ายๆแฝงอยู่
และนั่นก็ส่งมาถึงผม คนนี้ตั้งใจเอาโจทย์ง่ายๆมาให้เพราะคิดว่าผมจะทำไม่ได้สินะ
ถ้าตอบไปแบบธรรมดา ก็คงจะภูมิใจว่าผมตอบผิดและพยายามบอกว่าผมน่ะเป็นแค่นักเรียนธรรมดาๆคนนึง
「แม้ว่าจะเป็นเหล่านักเรียนทุน แต่ข้าก็คงเดาได้แค่ว่าเหล่าเด็กๆคงคิดได้แค่นั้นสินะ」
「อยากจะบอกว่านั้นเป็นวงเวทย์ซ้อนเวทย์งั้นเหรคครับ?」
「ว่าไงนะ?!」
ในขณะที่ผมยืนขึ้นและเดินไปหาอาจารย์ที่ห้องเรียน ทั้งห้องก็ส่งเสียงดัง
「การวาดวงเวทย์ของอาจารย์น่ะมันไม่ใช่สูตรที่ถูกต้องสักหน่อยนะครับ แม้ว่าจะบอกว่า 「เปลวเพลิงเอ๋ย จงแผดเผาพื้นที่โดยรอบ」มันก็คงจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไรนะครับเพราะฐานของวงเวทย์นั้นเป็นเวทย์สายฟ้า อย่างไรก็ตามหากเพิ่มสิงนี้ไปยังจุดเริ่มต้นของประโยคในวงเวทย์แล้วละก็:」
ผมเขียน 「สายฟ้าเอ๋ย จงเผยโฉม」 ที่จุดเริ่มต้นของตัวอักษรในวงเวทย์บนกระดานดำ
「ด้วยการเขียนเช่นนี้ 「สายฟ้าและเปลวเพลิงเอ๋ย จงเผยโฉมเพราะเผาไหม้พื้นที่โดยรอบ」 ก่อนอื่นก็ให้เวทย์สายฟ้าเปิดใช้งาน จากนั้นขณะที่พลังเวทย์กำลังไหลไปยังที่เวทย์สายฟ้าก็ให้เวทย์ไฟถูกเปิดใช้งาน ดังที่เห็นในข้อความนั่นมันจะเผาผลาญสิ่งต่างๆโดยรอบ…แต่ว่าด้วยการจะสร้างวงเวทย์ไฟที่ทรงพลังนั้น เวทย์ระดับ 2 ทำไม่ได้หรอกครับ」
「กรอดกรอดกรอด….!」
「ถ้างั้นให้ผมวาดวงเวทย์ได้รึเปล่าครับ?」
ขณะที่ดีดนิ้วออกมาวงเวทย์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ทำให้พวกนั้นตกใจ
「ใช้โดยไม่ร่ายเลยงั้นเหรอ?!」
「ใช้วงเวทย์ซับซ้อนได้ง่ายขนาดนั้นเลย…」
ดูเหมือนว่าคนที่ไม่คุ้นเคยกับเวทมนตร์จะประหลาดใจกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
「อืมม ไม่ต้องห่วงไปไม่ให้มันทำงานหรอกครับ ก็อย่างที่เห็นการที่วงเวทย์ปรากฏในลักษณะนี้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันผิดตั้งแต่แรก และหากผ่านก็แก้ไขและเรียบเรียงใหม่ ถ้าหากมันผิดแค่ตรงส่วนแรก นั่นก็หมายความว่าแก้แค่ตรงส่วนั้นก็ใช้เวทย์ไฟผสมสายฟ้าได้ด้วยวิธีนี้」
นักเรียนบางคนดูเหมือนจะตะโกนออกมาด้วยความสับสน
ถ้าไม่คุ้นเคยกับเวทย์ก็ไม่สามารถเข้าใจเวทย์ซ้อนเวทย์ได้ในครั้งแรกหรอก
อาจเป็นเรื่องที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนที่ไม่ได้เลือกจะเข้าสาขาเวทย์ในก่อนหน้านี้ด้วย
「เทคนิคเวทย์ซ้อนเวทย์นั้นสามารถเพิ่มชั้นให้มันได้มากขึ้น ไม่เพียงแค่สองเท่าหรือสามเท่า แต่ยังสามารถใช้เวทย์ที่มีองค์ประกอบของธาตุทั้งเจ็ดรวมถึงธาตุศักดิ์สิทธิ์และความมืดได้อีกด้วย」
「เป็นไปไม่ได้หรอกน่า!」
อาจารย์เองดูเหมือนจะเถียงหัวชนฝา
「มันมีขีดจำกัดสำหรับการใช้เวทย์ซ้อนเวทย์อยู่นะเห้ย ไม่ว่าจะฝึกยังไง ก็ได้แค่ 3 ชั้น แม้ว่าแกจะมีความสามารถสูงแค่ไหนแต่ก็มีขีดจำกัดสูงสุดที่แค่ 4 นั่นแหละ! หากมีมากกว่านั้นความสามารถในการคำนวณของสมองมันจะทำงานหนักจนตามเวทย์ของแกไม่ทัน!」
「อืม สำหรับอาจารย์อาจจะไม่…ได้นั่นแหละนะ แต่ยังไงมันก็เป็นไปได้ อย่างไรก็ตามจำนวนการกลืนกินพลังเวทย์นั้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกันเพราะเวทย์จะระดับสูงขึ้นหากใช้เวทย์ซ้อนเวทย์มากขึ้น.」
「สิ่งที่ข้ากำลังจะพูดนั่นไม่ใช่แค่ข้าโว้ย แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับทุกคนตั้งแต่แรกแล้ว!」
หือออ บางทีอาจจะสมเหตุสมผลก็ได้ แต่ว่าผมทำได้นี่น่า แต่จากสิ่งที่บอกดูเหมือนคนแถวนี้จะใช้เวทย์ได้ห่วยบรม ในกรณีของเวทย์ซ้อนเวทย์แบบง่ายๆก่อนหน้านี้อาจจะทำได้หากได้ฝึก แต่ปัญหาไม่ใช่แบบนั้น
อยากให้ลิซและจูเลี่ยนอยู่นี่จังเลยนะ ถ้าเป็นพวกนั้นละก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน
เวทย์นั้นขึ้นกับพรสวรรค์ของแต่ละคน ไม่ว่าจะมีความรู้มากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้หากปราศจากพรสวรรค์
แม้ว่าจะมีพลังเวทย์ แต่มนุษย์ก็มีขีดจำกัดในฐานะเผ่าพันธุ์เช่นนั้นเอง ตัวอย่างเช่นแม้ว่าจะมีพลังที่จำเป็นต้องใช้ แต่ว่าร่างกายของพวกเขารับภาระเหล่านั้นไม่ได้
ด้วยวิธีการนี้เองสิ่งที่ทำไม่ได้แม้จะฝึกหนักแค่ไหน อย่างที่อาจารย์พูดมันก็คงจะถูกต้องละมั้ง?
「ขอโทษด้วยครับที่มาก้าวก่ายมากเกินไป ขอกลับไปนั่งนะครับ?」
「เออ รีบกลับไปนั่งที่ได้แล้ว….」
ผมนั่งลงโดยหมดความสนใจ
เฮ้อน่าเบื่อจริงๆเลยนะ
แก้คำว่าจัสสุเป็นจุทสึตามคำแนะนำ